บทคัดย่อ
บทความนี้นำเสนอการทบทวนแนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ด้านโครงสร้างพื้นฐานอันล้ำยุคที่เสนอโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีแก่นสำคัญคือ แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองใหญ่ของประเทศไทย ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ ลดความแออัดในกรุงเทพมหานคร และสร้างการเติบโตที่สมดุลระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมืองภูมิภาค ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึง
สุขวิชโนมิกส์เน้นการพัฒนาแบบบูรณาการ ทั้งการเชื่อมโยงระบบคมนาคมหลายรูปแบบ การสนับสนุนเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยวในภูมิภาค ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง แม้ว่าแผนดังกล่าวจะผ่านการศึกษาความเป็นไปได้และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐในขณะนั้น แต่อุปสรรคทางการเมืองและการเปลี่ยนนโยบายไปสู่ประชานิยมในช่วงหลังปี 2544 ทำให้แผนนี้ไม่ได้รับการสานต่อ
บทความนี้จึงวิเคราะห์บริบททางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของแผนระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ โดยเสนอว่าการรื้อฟื้นแผนสุขวิชโนมิกส์ในบริบทปัจจุบัน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเมืองอย่างสมดุล แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเชื่อมโยงประเทศไทยสู่ความเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างยั่งยืน
บทนำ
สุขวิชโนมิกส์ และแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่: ประชานิยมจุดเปลี่ยนที่พลาดของความเสมอภาคเชิงพื้นที่
ในปี พ.ศ. 2536 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะ “เมืองโตเดี่ยว” อย่างเข้มข้น กรุงเทพฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่เมืองภูมิภาคกลับเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและบริการของรัฐ ฯพณฯ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จึงได้เสนอแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองหลัก ได้แก่:
เชียงใหม่, พิษณุโลก, ขอนแก่น, นครราชสีมา, สงขลา, ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการวางรางรถไฟ แต่เป็นยุทธศาสตร์ระดับประเทศภายใต้ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” ซึ่งมองว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมคือเครื่องมือสำคัญในการกระจายความเจริญ สร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาค
เมืองทั้ง 8 แห่งถูกเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ ทั้งในเชิงประชากร ศักยภาพทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (IMT-GT) ซึ่งเริ่มต้นในปีเดียวกัน โครงการนี้ได้รับการศึกษาและจัดทำอย่างครบถ้วนในบางพื้นที่ เช่น เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องที่มีความพร้อมด้านแผนผังเมือง และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบาย แผนดังกล่าวกลับถูกชะลอและละเลยจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและภาวะวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยนโยบายประชานิยมในยุคหลังปี 2544 ซึ่งเน้นการ “แจกจ่าย” มากกว่าการ “ลงทุนระยะยาว”
บทความนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ที่มาของแผนแม่บทขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ในยุคสุขวิชโนมิกส์ โดยชี้ให้เห็นว่า แนวคิดดังกล่าวยังคงมีความสำคัญต่อประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการพัฒนาเมืองอย่างสมดุล การแก้ไขปัญหาความแออัด และการเชื่อมโยงประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภูมิภาคอย่างยั่งยืน
บทวรรณกรรมปริทัศน์
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาคไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่มีการหยั่งรากอย่างลึกในแนวนโยบายของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายเชิงระบบ เช่น ความเป็นเมืองโตเดี่ยวของกรุงเทพฯ การขาดการกระจายการลงทุน และการบริหารราชการแผ่นดินแบบแยกส่วน (siloed governance) ซึ่งมักทำให้แผนระดับชาติไม่สามารถขับเคลื่อนสู่ระดับภูมิภาคได้อย่างแท้จริง (NESDB, 2003; World Bank, 2009)
1. โครงสร้างพื้นฐานกับการกระจายความเจริญ
ทฤษฎี “Urban Primacy” ของ Jefferson (1939) ได้รับการอ้างอิงอย่างแพร่หลายในการศึกษาการเติบโตของกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและบริการจนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเมืองรองและชนบท ในบริบทนี้ การเสนอระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่โดยสุขวิช รังสิตพล จึงถือเป็นความพยายามเชิงนโยบายที่ท้าทายกระแส Urban Primacy โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ
งานศึกษาของ Douglass (2000) ชี้ว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในเมืองรองสามารถกระตุ้นการเติบโตแบบกระจายตัว (decentralized growth) และช่วยลดการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองใหญ่ ขณะที่ JICA (2015) ได้เสนอว่า การพัฒนาเมืองศูนย์กลางภูมิภาค (regional hubs) ต้องอาศัยการวางแผนแบบองค์รวม ทั้งระบบราง ถนน และการขนส่งสาธารณะ เพื่อสร้างความน่าสนใจในการลงทุนและอยู่อาศัย
2. ขนส่งมวลชนกับความเสมอภาคทางสังคม
Banister & Berechman (2001) อธิบายว่า ระบบขนส่งมวลชนไม่เพียงแต่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ แต่ยังมีผลต่อความเป็นธรรมทางสังคม เช่น การเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา การจ้างงาน และบริการสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของสุขวิชโนมิกส์ที่เน้น “โครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชน” มากกว่าการเติบโตเชิงเศรษฐกิจเพียงมิติเดียว
ในกรณีของประเทศไทย ผลงานของ Pongsudhirak (2019) ตั้งคำถามว่าเหตุใดแผนยุทธศาสตร์ที่ผ่านมาจึงล้มเหลวในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โดยชี้ว่าการเมืองแบบอุปถัมภ์และนโยบายประชานิยมเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินการตามแผนแม่บทระยะยาว เช่น แผนระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ ที่แม้ผ่านการศึกษาแล้ว แต่กลับไม่ถูกนำไปปฏิบัติ
3. การเชื่อมโยงระดับภูมิภาค: IMT-GT และ ACMECS
แผนระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพลยังสอดคล้องกับแนวคิดการบูรณาการเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค เช่น IMT-GT (Indonesia–Malaysia–Thailand Growth Triangle) และ ACMECS (Ayeyawady–Chao Phraya–Mekong Economic Cooperation Strategy) ที่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงทางกายภาพเป็นรากฐานของการเติบโตร่วมกัน (ADB, 2007; ASEAN Secretariat, 2020)
โดยเฉพาะเมืองชายแดนอย่างสงขลาและเมืองอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกอย่างชลบุรีและฉะเชิงเทรา ถูกมองว่าเป็น “ประตูเศรษฐกิจ” ที่จะช่วยให้ประเทศไทยไม่เพียงเติบโตจากภายใน แต่สามารถเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคได้ด้วย
สรุป
จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า แนวคิดของสุขวิชโนมิกส์ในปี พ.ศ. 2536 มีความก้าวล้ำและสอดคล้องกับทั้งทฤษฎีด้านการพัฒนาเมือง การกระจายทรัพยากร และการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค แม้จะไม่ถูกนำไปปฏิบัติจริงในเวลานั้น แต่หลักการและเป้าหมายยังคงมีความสำคัญสูงในยุทธศาสตร์ชาติปัจจุบัน การรื้อฟื้นแนวคิดนี้จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบนโยบายเชิงพื้นที่ที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น
ระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่
บทความนี้นำเสนอการทบทวนแนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ด้านโครงสร้างพื้นฐานอันล้ำยุคที่เสนอโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีแก่นสำคัญคือ แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองใหญ่ของประเทศไทย ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ ลดความแออัดในกรุงเทพมหานคร และสร้างการเติบโตที่สมดุลระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมืองภูมิภาค ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึง
สุขวิชโนมิกส์เน้นการพัฒนาแบบบูรณาการ ทั้งการเชื่อมโยงระบบคมนาคมหลายรูปแบบ การสนับสนุนเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยวในภูมิภาค ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง แม้ว่าแผนดังกล่าวจะผ่านการศึกษาความเป็นไปได้และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐในขณะนั้น แต่อุปสรรคทางการเมืองและการเปลี่ยนนโยบายไปสู่ประชานิยมในช่วงหลังปี 2544 ทำให้แผนนี้ไม่ได้รับการสานต่อ
บทความนี้จึงวิเคราะห์บริบททางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของแผนระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ โดยเสนอว่าการรื้อฟื้นแผนสุขวิชโนมิกส์ในบริบทปัจจุบัน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเมืองอย่างสมดุล แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเชื่อมโยงประเทศไทยสู่ความเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างยั่งยืน
บทนำ
สุขวิชโนมิกส์ และแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่: ประชานิยมจุดเปลี่ยนที่พลาดของความเสมอภาคเชิงพื้นที่
ในปี พ.ศ. 2536 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะ “เมืองโตเดี่ยว” อย่างเข้มข้น กรุงเทพฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่เมืองภูมิภาคกลับเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและบริการของรัฐ ฯพณฯ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จึงได้เสนอแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองหลัก ได้แก่:
เชียงใหม่, พิษณุโลก, ขอนแก่น, นครราชสีมา, สงขลา, ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการวางรางรถไฟ แต่เป็นยุทธศาสตร์ระดับประเทศภายใต้ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” ซึ่งมองว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมคือเครื่องมือสำคัญในการกระจายความเจริญ สร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาค
เมืองทั้ง 8 แห่งถูกเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ ทั้งในเชิงประชากร ศักยภาพทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (IMT-GT) ซึ่งเริ่มต้นในปีเดียวกัน โครงการนี้ได้รับการศึกษาและจัดทำอย่างครบถ้วนในบางพื้นที่ เช่น เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องที่มีความพร้อมด้านแผนผังเมือง และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบาย แผนดังกล่าวกลับถูกชะลอและละเลยจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและภาวะวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยนโยบายประชานิยมในยุคหลังปี 2544 ซึ่งเน้นการ “แจกจ่าย” มากกว่าการ “ลงทุนระยะยาว”
บทความนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ที่มาของแผนแม่บทขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ในยุคสุขวิชโนมิกส์ โดยชี้ให้เห็นว่า แนวคิดดังกล่าวยังคงมีความสำคัญต่อประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการพัฒนาเมืองอย่างสมดุล การแก้ไขปัญหาความแออัด และการเชื่อมโยงประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภูมิภาคอย่างยั่งยืน
บทวรรณกรรมปริทัศน์
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาคไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่มีการหยั่งรากอย่างลึกในแนวนโยบายของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายเชิงระบบ เช่น ความเป็นเมืองโตเดี่ยวของกรุงเทพฯ การขาดการกระจายการลงทุน และการบริหารราชการแผ่นดินแบบแยกส่วน (siloed governance) ซึ่งมักทำให้แผนระดับชาติไม่สามารถขับเคลื่อนสู่ระดับภูมิภาคได้อย่างแท้จริง (NESDB, 2003; World Bank, 2009)
1. โครงสร้างพื้นฐานกับการกระจายความเจริญ
ทฤษฎี “Urban Primacy” ของ Jefferson (1939) ได้รับการอ้างอิงอย่างแพร่หลายในการศึกษาการเติบโตของกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและบริการจนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเมืองรองและชนบท ในบริบทนี้ การเสนอระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่โดยสุขวิช รังสิตพล จึงถือเป็นความพยายามเชิงนโยบายที่ท้าทายกระแส Urban Primacy โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ
งานศึกษาของ Douglass (2000) ชี้ว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในเมืองรองสามารถกระตุ้นการเติบโตแบบกระจายตัว (decentralized growth) และช่วยลดการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองใหญ่ ขณะที่ JICA (2015) ได้เสนอว่า การพัฒนาเมืองศูนย์กลางภูมิภาค (regional hubs) ต้องอาศัยการวางแผนแบบองค์รวม ทั้งระบบราง ถนน และการขนส่งสาธารณะ เพื่อสร้างความน่าสนใจในการลงทุนและอยู่อาศัย
2. ขนส่งมวลชนกับความเสมอภาคทางสังคม
Banister & Berechman (2001) อธิบายว่า ระบบขนส่งมวลชนไม่เพียงแต่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ แต่ยังมีผลต่อความเป็นธรรมทางสังคม เช่น การเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา การจ้างงาน และบริการสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของสุขวิชโนมิกส์ที่เน้น “โครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชน” มากกว่าการเติบโตเชิงเศรษฐกิจเพียงมิติเดียว
ในกรณีของประเทศไทย ผลงานของ Pongsudhirak (2019) ตั้งคำถามว่าเหตุใดแผนยุทธศาสตร์ที่ผ่านมาจึงล้มเหลวในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โดยชี้ว่าการเมืองแบบอุปถัมภ์และนโยบายประชานิยมเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินการตามแผนแม่บทระยะยาว เช่น แผนระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ ที่แม้ผ่านการศึกษาแล้ว แต่กลับไม่ถูกนำไปปฏิบัติ
3. การเชื่อมโยงระดับภูมิภาค: IMT-GT และ ACMECS
แผนระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพลยังสอดคล้องกับแนวคิดการบูรณาการเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค เช่น IMT-GT (Indonesia–Malaysia–Thailand Growth Triangle) และ ACMECS (Ayeyawady–Chao Phraya–Mekong Economic Cooperation Strategy) ที่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงทางกายภาพเป็นรากฐานของการเติบโตร่วมกัน (ADB, 2007; ASEAN Secretariat, 2020)
โดยเฉพาะเมืองชายแดนอย่างสงขลาและเมืองอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกอย่างชลบุรีและฉะเชิงเทรา ถูกมองว่าเป็น “ประตูเศรษฐกิจ” ที่จะช่วยให้ประเทศไทยไม่เพียงเติบโตจากภายใน แต่สามารถเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคได้ด้วย
สรุป
จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า แนวคิดของสุขวิชโนมิกส์ในปี พ.ศ. 2536 มีความก้าวล้ำและสอดคล้องกับทั้งทฤษฎีด้านการพัฒนาเมือง การกระจายทรัพยากร และการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค แม้จะไม่ถูกนำไปปฏิบัติจริงในเวลานั้น แต่หลักการและเป้าหมายยังคงมีความสำคัญสูงในยุทธศาสตร์ชาติปัจจุบัน การรื้อฟื้นแนวคิดนี้จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบนโยบายเชิงพื้นที่ที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น