สุขวิชโนมิกส์: ยุคทองของเศรษฐกิจไทย 2546-2555
บทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคของการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐบาลไทย และ ความสำเร็จเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นนโยบายที่ริเริ่ม ออกแบบ และผลักดันโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล (His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol)ผู้สถาปนาความคิดด้านสถาปัตยกรรมระบบการศึกษาไทยยุคใหม่ (System Architect of Modern Thai Education) ผลการศึกษาพบว่า นโยบายดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำประเทศไทยเข้าสู่ “ยุคทองของเศรษฐกิจไทย” ในช่วงปี พ.ศ.2546–2555 ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.5% สูงที่สุดช่วงหนึ่งในรอบกว่า 30 ปี ตามรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
การดำเนินนโยบายครั้งนี้ทำให้เด็กยากจนจำนวน 4.35 ล้านคน (อายุ 3–17 ปี) เข้าสู่ระบบการศึกษาเป็นครั้งแรก ส่งผลให้เด็กไทยทั้งหมด 16.68 ล้านคน ได้รับสิทธิการศึกษาพื้นฐาน 12 ปี และอนุบาล 3 ปี พร้อมบริการครบวงจร ได้แก่ ค่าเล่าเรียน หนังสือ เครื่องแบบ อาหารกลางวัน และค่าพาหนะ ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานของสิทธิด้านการศึกษาใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 และ 80 การขยายโอกาสทางการศึกษาดังกล่าวเป็นผลจากการออกแบบเชิงระบบ (System Architecture) ควบคู่กับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participatory Planning) อันเป็นแนวทางที่ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล วางไว้เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาในระดับโครงสร้าง
การวิเคราะห์เชิงประจักษ์พบว่า เด็กยากจน 4.35 ล้านคนที่เข้าสู่ระบบการศึกษาในปี 2540 ได้กลายเป็นแรงงานคุณภาพที่สร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในปี 2546 ที่แรงงานสองกลุ่มสำคัญ ได้แก่ กลุ่มอายุ 15–17 ปี และกลุ่มอายุ 12–14 ปี สร้าง GDP รวมประมาณ 0.3287 ล้านล้านบาท และเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังวิกฤตปี 2540 ก่อนจะขยายตัวต่อเนื่องยาวนานถึงปี 2555
หลังปี 2555 เมื่อผลของการลงทุนทุนมนุษย์รุ่นนี้เริ่มลดลง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงเหลือเฉลี่ยเพียง 1.9% ในช่วงปี 2556–2565 สะท้อนชัดถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการลงทุนด้านมนุษย์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เหตุการณ์การรวมศูนย์อำนาจทางการศึกษาภายใต้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ส่งผลให้แนวคิด “โรงเรียนนิติบุคคล” และโครงสร้างที่ออกแบบโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ถูกตัดทอน ทำให้แผนยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ระดับ Excellent ภายในปี 2550–2551 ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
งานวิจัยนี้สรุปว่า “ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งเน้นการพัฒนามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ความเสมอภาคด้านการศึกษา และการบริหารจัดการเชิงระบบแบบกระจายอำนาจ เป็นแบบจำลองที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน การลงทุนด้านการศึกษาอย่างถูกต้องเพียงหนึ่งครั้งสามารถสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี และควรเป็นบทเรียนเชิงนโยบายสำคัญที่ประเทศไทยนำกลับมาประยุกต์ใช้ เพื่อฟื้นฟูศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของประเทศ
บทนำ
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ดำเนินท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง และโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความท้าทายสำคัญของรัฐไทยคือการสร้างฐานทุนมนุษย์ที่เข้มแข็งเพียงพอสำหรับการพาประเทศเข้าสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ภายใต้บริบทดังกล่าว บทบาทของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล (His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol) ในฐานะสถาปนิกเชิงระบบของการศึกษาไทยยุคใหม่ (System Architect of Modern Thai Education) มีความโดดเด่นอย่างยิ่ง ทั้งในเชิงแนวคิด การออกแบบโครงสร้าง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อพัฒนาการของชาติ
ความสำเร็จ ของ นโยบายการศึกษาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยยุคหลัง พ.ศ. 2500 โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้ออกแบบระบบที่เน้น ความเสมอภาค, การลงทุนระยะยาวด้านมนุษย์, และ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participatory Planning) นำไปสู่การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กยากจนจำนวน 4.35 ล้านคน ซึ่งก่อนหน้านั้นตกหล่นออกจากระบบการเรียนรู้ การปฏิรูปครั้งนี้ทำให้เด็กไทยทุกคนอายุ 3–17 ปี รวมทั้งสิ้น 16.68 ล้านคน ได้รับสิทธิการศึกษาพื้นฐานอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง พร้อมต้นทุนการเรียนรู้ครบวงจร ทั้งค่าเล่าเรียน หนังสือ เครื่องแบบ อุปกรณ์ อาหารกลางวัน และค่าพาหนะ โครงสร้างดังกล่าวได้กลายเป็นฐานทางปัญญาของ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 และ 80 อันเป็นฉบับแรกที่รับรองสิทธิการศึกษาเกินระดับประถมศึกษาในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทย
การขยายโอกาสการศึกษาเชิงโครงสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” อย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของผู้ออกแบบระบบ ที่มองการลงทุนในมนุษย์เป็นปัจจัยกำหนดเสถียรภาพและการเติบโตระยะยาว มากกว่ามาตรการเศรษฐกิจเชิงระยะสั้น ผลลัพธ์เชิงประจักษ์จากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ชัดว่า เมื่อแรงงานจากกลุ่มผู้ได้รับโอกาสทางการศึกษาใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานในปี พ.ศ. 2543–2546 ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงที่ถูกนิยามภายหลังว่า “ยุคทองของเศรษฐกิจไทย” (พ.ศ. 2546–2555) ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.5% สูงที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ โดยมีแรงส่งสำคัญจากกลุ่มแรงงานที่เกิดจากการลงทุนด้านการศึกษาครั้งประวัติศาสตร์นี้
ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากการบังคับใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งรวมศูนย์อำนาจด้านการบริหารการศึกษา ได้ตัดทอนแนวคิด “โรงเรียนนิติบุคคล” และระบบฐานข้อมูล–การบริหารจัดการที่ถูกออกแบบไว้เดิม ส่งผลให้แผนยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ระดับ Excellent ภายในปี พ.ศ. 2550–2551 ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง ความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายดังกล่าวทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสสำคัญในการต่อยอดผลลัพธ์จากการลงทุนด้านการศึกษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
ดังนั้น งานศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิดและ “ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ในฐานะฐานคิดด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาที่เชื่อมโยงทุนมนุษย์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับประเทศ
ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคของการลงทุนด้านการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2540 ผ่านข้อมูลเชิงประจักษ์รายกลุ่มอายุ
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการศึกษา ความเสมอภาค และการเติบโตระยะยาวของชาติ
เสนอข้อค้นพบเชิงนโยบายสำหรับออกแบบการลงทุนด้านมนุษย์ในอนาคตของประเทศไทย
บทนำนี้จึงวางกรอบความสำคัญของการศึกษาระดับชาติที่ได้รับการออกแบบโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะกุญแจสำคัญของการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤต และเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนว่าการลงทุนด้านมนุษย์สามารถเปลี่ยนเส้นทางการเติบโตของประเทศได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ยุคทองของเศรษฐกิจไทย ตอนที่ 1
บทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคของการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐบาลไทย และ ความสำเร็จเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นนโยบายที่ริเริ่ม ออกแบบ และผลักดันโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล (His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol)ผู้สถาปนาความคิดด้านสถาปัตยกรรมระบบการศึกษาไทยยุคใหม่ (System Architect of Modern Thai Education) ผลการศึกษาพบว่า นโยบายดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำประเทศไทยเข้าสู่ “ยุคทองของเศรษฐกิจไทย” ในช่วงปี พ.ศ.2546–2555 ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.5% สูงที่สุดช่วงหนึ่งในรอบกว่า 30 ปี ตามรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
การดำเนินนโยบายครั้งนี้ทำให้เด็กยากจนจำนวน 4.35 ล้านคน (อายุ 3–17 ปี) เข้าสู่ระบบการศึกษาเป็นครั้งแรก ส่งผลให้เด็กไทยทั้งหมด 16.68 ล้านคน ได้รับสิทธิการศึกษาพื้นฐาน 12 ปี และอนุบาล 3 ปี พร้อมบริการครบวงจร ได้แก่ ค่าเล่าเรียน หนังสือ เครื่องแบบ อาหารกลางวัน และค่าพาหนะ ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานของสิทธิด้านการศึกษาใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 และ 80 การขยายโอกาสทางการศึกษาดังกล่าวเป็นผลจากการออกแบบเชิงระบบ (System Architecture) ควบคู่กับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participatory Planning) อันเป็นแนวทางที่ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล วางไว้เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาในระดับโครงสร้าง
การวิเคราะห์เชิงประจักษ์พบว่า เด็กยากจน 4.35 ล้านคนที่เข้าสู่ระบบการศึกษาในปี 2540 ได้กลายเป็นแรงงานคุณภาพที่สร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในปี 2546 ที่แรงงานสองกลุ่มสำคัญ ได้แก่ กลุ่มอายุ 15–17 ปี และกลุ่มอายุ 12–14 ปี สร้าง GDP รวมประมาณ 0.3287 ล้านล้านบาท และเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังวิกฤตปี 2540 ก่อนจะขยายตัวต่อเนื่องยาวนานถึงปี 2555
หลังปี 2555 เมื่อผลของการลงทุนทุนมนุษย์รุ่นนี้เริ่มลดลง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงเหลือเฉลี่ยเพียง 1.9% ในช่วงปี 2556–2565 สะท้อนชัดถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการลงทุนด้านมนุษย์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เหตุการณ์การรวมศูนย์อำนาจทางการศึกษาภายใต้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ส่งผลให้แนวคิด “โรงเรียนนิติบุคคล” และโครงสร้างที่ออกแบบโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ถูกตัดทอน ทำให้แผนยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ระดับ Excellent ภายในปี 2550–2551 ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
งานวิจัยนี้สรุปว่า “ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งเน้นการพัฒนามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ความเสมอภาคด้านการศึกษา และการบริหารจัดการเชิงระบบแบบกระจายอำนาจ เป็นแบบจำลองที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน การลงทุนด้านการศึกษาอย่างถูกต้องเพียงหนึ่งครั้งสามารถสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี และควรเป็นบทเรียนเชิงนโยบายสำคัญที่ประเทศไทยนำกลับมาประยุกต์ใช้ เพื่อฟื้นฟูศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของประเทศ
บทนำ
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ดำเนินท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง และโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความท้าทายสำคัญของรัฐไทยคือการสร้างฐานทุนมนุษย์ที่เข้มแข็งเพียงพอสำหรับการพาประเทศเข้าสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ภายใต้บริบทดังกล่าว บทบาทของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล (His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol) ในฐานะสถาปนิกเชิงระบบของการศึกษาไทยยุคใหม่ (System Architect of Modern Thai Education) มีความโดดเด่นอย่างยิ่ง ทั้งในเชิงแนวคิด การออกแบบโครงสร้าง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อพัฒนาการของชาติ
ความสำเร็จ ของ นโยบายการศึกษาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยยุคหลัง พ.ศ. 2500 โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้ออกแบบระบบที่เน้น ความเสมอภาค, การลงทุนระยะยาวด้านมนุษย์, และ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participatory Planning) นำไปสู่การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กยากจนจำนวน 4.35 ล้านคน ซึ่งก่อนหน้านั้นตกหล่นออกจากระบบการเรียนรู้ การปฏิรูปครั้งนี้ทำให้เด็กไทยทุกคนอายุ 3–17 ปี รวมทั้งสิ้น 16.68 ล้านคน ได้รับสิทธิการศึกษาพื้นฐานอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง พร้อมต้นทุนการเรียนรู้ครบวงจร ทั้งค่าเล่าเรียน หนังสือ เครื่องแบบ อุปกรณ์ อาหารกลางวัน และค่าพาหนะ โครงสร้างดังกล่าวได้กลายเป็นฐานทางปัญญาของ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 และ 80 อันเป็นฉบับแรกที่รับรองสิทธิการศึกษาเกินระดับประถมศึกษาในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทย
การขยายโอกาสการศึกษาเชิงโครงสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” อย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของผู้ออกแบบระบบ ที่มองการลงทุนในมนุษย์เป็นปัจจัยกำหนดเสถียรภาพและการเติบโตระยะยาว มากกว่ามาตรการเศรษฐกิจเชิงระยะสั้น ผลลัพธ์เชิงประจักษ์จากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ชัดว่า เมื่อแรงงานจากกลุ่มผู้ได้รับโอกาสทางการศึกษาใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานในปี พ.ศ. 2543–2546 ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงที่ถูกนิยามภายหลังว่า “ยุคทองของเศรษฐกิจไทย” (พ.ศ. 2546–2555) ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.5% สูงที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ โดยมีแรงส่งสำคัญจากกลุ่มแรงงานที่เกิดจากการลงทุนด้านการศึกษาครั้งประวัติศาสตร์นี้
ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากการบังคับใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งรวมศูนย์อำนาจด้านการบริหารการศึกษา ได้ตัดทอนแนวคิด “โรงเรียนนิติบุคคล” และระบบฐานข้อมูล–การบริหารจัดการที่ถูกออกแบบไว้เดิม ส่งผลให้แผนยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ระดับ Excellent ภายในปี พ.ศ. 2550–2551 ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง ความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายดังกล่าวทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสสำคัญในการต่อยอดผลลัพธ์จากการลงทุนด้านการศึกษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
ดังนั้น งานศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิดและ “ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ในฐานะฐานคิดด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาที่เชื่อมโยงทุนมนุษย์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับประเทศ
ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคของการลงทุนด้านการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2540 ผ่านข้อมูลเชิงประจักษ์รายกลุ่มอายุ
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการศึกษา ความเสมอภาค และการเติบโตระยะยาวของชาติ
เสนอข้อค้นพบเชิงนโยบายสำหรับออกแบบการลงทุนด้านมนุษย์ในอนาคตของประเทศไทย
บทนำนี้จึงวางกรอบความสำคัญของการศึกษาระดับชาติที่ได้รับการออกแบบโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะกุญแจสำคัญของการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤต และเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนว่าการลงทุนด้านมนุษย์สามารถเปลี่ยนเส้นทางการเติบโตของประเทศได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน