ในเรื่องการกำเนิดจักรวาลในพุทธศาสนา เป็นไปได้หรือไม่ที่โลก ภพภูมิและจักรวาล เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งจิตของที่มีอวิชชา

(โปรดใช้วิจารณญาณ คุณผู้อ่านสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้แต่ ขอวิพากษ์วิจารณ์อย่างสุภาพไม่สร้างความแตกแยกหรือทะเลาะกันเพราะความเชื่อ

และโปรดจำไว้ อย่าพึ่งเชื้อ จนกว่าจะศึกษา พิจารณาและรู้ด้วยตัวเอง หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วย)

ในความเชื้อการสร้างโลกและจักรวาลของพุทธศาสนา

เราเชื่อว่าโลกและจักรวาลล้วนเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย ไม่มีผู้สร้าง 

แต่

ผมมีทฤษฎีหนึ่งที่หน้าสนใจนะครับ รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท ไหม มันคือหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ หรือสภาวะต่างๆ ที่อาศัยเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน โดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ หรือเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ

เพราะอวิชชา(ความไม่รู้)เป็นปัจจัย สังขาร(การปรุงแต่ง)ทั้งหลายจึงมี

เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี

เพราะนามรูป(รูปลักษณ์ร่างกาย)เป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ( ที่เชื่อมต่อ อันประกอบด้วยตาหู จมูก ลิ่น กาย ใจ)จึงมี

เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะ(สัมผัส)จึงมี

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา(อารมณ์)จึงมี

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา(ความติดใจอยาก ความยินดี ยินร้าย หรือติดในรสอร่อยของโลก)จึงมี

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน(การยึดทั่นถือหมั่น)จึงมี

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี

เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี

เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี

ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี

หากจะกล่าวในทฤษฎีของผม มีความเป็นไปได้ว่าจักรวาลโลกและภพภูมิต่างๆนั้นเกิดขึ้น 

จากการปรุ่งแต่งของจิตที่มีอวิชชา

มันจะเป็นไปได้ยังที่จิตจะสร้างภพภูมิ




ผมจะพูดแบบนี้

จำคำพูดของนักปราชญ์ฝรั่งเศส เรอเน เดการ์ต ( René Descartes นักปรัชญาและคณิตศาสตร์) ได้ไหม


Cogito, ergo sum

 ( I think, there for I am )

"ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่"

ดวงจิตเริ่มแรกเราไม่รู้ว่ามาจากไหน มันได้มาสู่ภพภูมิที่ว่างเปล่า เพราะความไม่รู้มันจึงสร้างสรรค์ ภพภูมิขึ้นมา โลก จักรวาล ป่าไม้ทะเลและสิ่งต่างมากมายรวมถึงมนุษย์และสัตว์ เทพ ปีศาจ

หลายคนถามว่าจิตดวงเดียวสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้เหรอ คำตอบ มันได้ในระดับหนึ่ง แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าภพภูมินี้ไม่ได้มีดวงเดียว แต่มีหลายดวงมหาศาลจนยากจะนับ (ดวงจิตในจักรวาลแห่งสังสาระมีมากกว่า น้ำในมหาสมุทรเสียอีก)เมื่อเหล่าดวงจิต มีจำนวนมหาศาลมาร่วมกัน

มันก็มีพลังสามารถสรรค์สร้างสิ่งต่างๆที่คาดไม่ถึงให้เกิดขึ้นได้

(ส่วนเวลาหรือปี มันก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติ เพราะเวลาหรือปีไม่เคยมีอยู่จริงๆ)

ซึ่งทุกอย่างจะดีถ้าภพภูมิที่สรรค์สร้างมันไม่มีกฏเกณฑ์


ใช้มันมี คือ ไตรลักษณ์ อนิจจัง(ความไม่เถียง) ทุกขัง(ความทุกข์) อนัตตา(ความไม่มีตัวตน)

ใช้ภพภูมิที่สร้าง มันมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ แปรปรวนและดับไป 

และอีกอย่างดวงจิตนั้นก็มีขีดจำกัดมันย่อมตกต่ำหรือหมดพลังได้ แตกสลายและเกิดใหม่ แค่ลดระดับไปสู่สิ่งที่ต่ำ

เคยสงสัยไหมทำไมจักรวาลถึงไม่สามารถสร้างโลกแบบ ดราก้อนบอล หรือนารูโตะ หรือ ลอร์ดออฟเดอะลิงค์ โลกแบบเลิฟคาร์ฟได้ แล้วทำไมเทพชั้นพรหมและสวรรค์ หรือแม้แต่ปีศาจนรก ถึงมีพลังที่จำกัด

นั้นก็เพราะจักรวาลนี้มีกฏเกณฑ์ ถ้าไม่มีก็คงกลายเป็นเคฮอส หรือกลียุคความวุ่นวายไปแล้ว

สวรรค์ และ นรก เทวดา สัตว์นรกเปรตอสุรกายล้วนมีอายุไขเมื่อหมดอายุก็ไปเกิดตามแรงกรรมที่ตัวเองได้ทำไว้

มีคำกล่าวว่าไงจิตใจมนุษย์สามารถทำให้ฟ้าร้องไห้ได้

กิเลสของมนุษย์สามารถทำให้โลกถึงการพินาศได้ ลองดูโลกในปัจจุบัน สงคราม การทำลายธรรมชาติ ความไม่รู้จักพอสามารถทำให้โลกถึงการพินาศได้เช่นกัน



สวรรค์และนรกเกิดจากอะไร เคยได้ยินไหมสวรรค์ในอกนรกในใจ หรือพูดง่ายๆ จิตใจเรานี้แหละที่ที่จะเป็นกุญแจพาไปนรกหรือสวรรค์ได้

นรกใดไม่หน้ากลัวเท่ากับนรกที่ใจได้สร้างขึ้น

สวรรค์ที่เหนือจินตนาการใด ไม่เท่ากับสวรรค์ในใจ

อนัตตา(ความไม่มีตัวตน) ใช้ไม่มีตัวตนแต่มันมีเพราะจิตได้ปรุ่งแต่งขึ้นมาจากความไม่รู้ ยกตัวอย่าง โทรศัพท์ไอโฟนนี้ เริ่มแรกมันไม่มีตัวตนแต่มันมีเพราะเรานำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบสร้างขึ้นมามันจึงมี มันมีขึ้นมาได้เพราะมันมีคนคิดขึ้นมา

เราเรียนรู้เรื่องอนันตาไม่ใช่ใช้เชื่อว่าไม่มีตัวตนแต่เราเรียนเพื่อให้เห็น เหตุว่าความไม่มีตัวตนมันมีได้อย่างไร เมื่อมันมี มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่แปรป่วนและดับไป เราเรียนรู้เพื่อที่จะไม่ยึดติดหรือรู้สึกทุกข์ไปกับสังสารวัฏ และมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติและ ความจริงในทะเลแห่งวัฏฏะ


ส่วนทำไมมนุษย์ยังเกิดมาได้ตลอด มันก็เหมือนกับเทียนเล่มหนึ่งที่มีจิตคือแสงไฟเมื่อเทียนเริ่มละลาย ก็จะมีการนำเทียนเล่มใหม่มาต่อไฟไปเรื่อย ๆ หรือเหมือนต้นข้าวเมื่อมันตาย มันจะผลัดเมล็ดข้าวลงมาแล้วจากนั้น เมล็ดเหล่านั้นก็จะงอกงามไปเรื่อยๆ

จิตเราก็เหมือนไฟ เมื่อยังมีอวิชชาและกิเลส เมื่อมันใกล้ดับ มันจะสร้างเหตุและปัจจัยเพื่อดำรงอยู่ต่อไปเหมือนการต่อเทียนไปเรื่อย ๆ

และวิธีหลุดพ้น นั้นคือตื่นจากอวิชชา คือการมองเห็นความเป็นไปของสรรพสิ่ง เกิด ขึ้นตั้งอยู่และดับไป

หมั่นทำความดี โดยตั้งอยูนบนพรหมวิหารสี่ ทาน ศีล ภาวนา ละความชั่ว เพราะพลังความชั่วมันมีอำนาจและรุนแรงทำให้ดวงจิตตกต่ำและยังคงวนเวียนในสังสารวัฏ

แต่พลังแห่งความดีมักมีความสัมพันธ์กับพลังแห่งการตื่นรู้และเป็นฐานในการยกระดับจิตใจเข้าสู่นิพพาน

ความชั่วทำให้เกิดชาติภพไม่จบสิ้น แต่ความดีทำให้ชาติภพสั่นลง

   





แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปริศนาอยู่ และมันเป็นเรื่องอจินไตย(สิ่งที่ไม่ควรคิดหรือเกินวิสัยจะคิด)

ถ้าหากดวงจิตของเราเป็นดั่งเมล็ดข้าวที่ถูกหว่านลงบนดิน คำถามคือ


Who is the sower?

ใครคือผู้หว่านเมล็ด

คำถามนี้มันก็เหมือนงูกินห่าง เรารู้ว่าจิตเราทำอะไรได้บ้าง แต่ดวงจิตของเรามาจากไหนและใครคือผู้หว่านเมล็ด


เหมือนที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์พูดไว้

God does not play dice
 พระเจ้าไม่ทอยลูกเต๋าหรอก

ก็เหมือนกับชาวนาจะไม่หว่านเมล็ดข้าวลงบนดินโดยไม่มีเหตุผลหรอก


ดวงจิตเราเป็นเหมือนเมล็ดพืช เริ่มแรกมันมไม่มีรูปกายอะไร

แต่เมื่อหว่านเมล็ดลงมาบนดิน (สังสารวัฏ) มันจะงอกงามออกมาเป็นพืชชนิดใดก็ได้ 

แต่เมือถึงอายุไข เมือต้นพืชเก่าตายมันจะผลัดเมล็ดพันธุ์ ออกมา ตกลงบนดินและส่งผลให้ต้นพืชชนิดใหม่เจริญงอกงาม

มันก็เหมือนกับเมื่อเทียนดวงเก่าใกล้ละลาย ก็จะมีการนำเทียนดวงใหม่มาต่อไฟไปเลื่อยๆ


มีคำกล่าวว่าไง เรารู้ว่ามี first, second and third 

แต่แล้วก่อนจะมี first มันคืออะไร



นี้แหละคือทฤษฎีที่ผมตั้งขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่