การเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) จะเกิดได้ต่อเมื่อจิตมีสมาธิ

สังคณิการามสูตร (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒)

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์แล้วจักละสังโยชน์ ทำพระนิพพานให้แจ้งได้”
    
ข้อ ๑

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ … จักยินดีในปวิเวกตามลำพังได้”
    ความหมาย: ผู้ที่ชอบอยู่กับหมู่คณะ พูดคุย ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก จะไม่มีโอกาสเข้าถึง ปวิเวก (ความสงัด 3 ระดับ คือ กายวิเวก จิตวิเวก และอุปธิวิเวก)
    ปวิเวกคือฐานแรกที่ทำให้จิตเกิดสมาธิได้


ข้อ ๒

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ยินดีในปวิเวกตามลำพังจักถือเอานิมิตแห่งจิตได้”
    “นิมิตแห่งจิต” = อารมณ์ที่จิตกำหนดไว้ในการภาวนา เช่น ลมหายใจ ความสงบ ดวงสว่าง
    ถ้าไม่รักความสงัด → จิตย่อมฟุ้งซ่าน → ไม่อาจตั้งมั่นอยู่ในนิมิตภาวนา


ข้อ ๓

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ถือเอานิมิตแห่งจิต จักบำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้”
    การเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) จะเกิดได้ต่อเมื่อจิตมีสมาธิจากการเพ่งนิมิต
    ถ้าไม่ตั้งจิตในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง → จิตไม่สงบ → ความเข้าใจธรรมก็พร่าเลือน


ข้อ ๔

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้”
    •    สมาธิแท้ต้องเกิดบนฐานของ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ เช่น เห็นไตรลักษณ์ เห็นเหตุปัจจัย)
    •    ถ้าเห็นผิด → แม้ได้สมาธิ ก็เป็น มิจฉาสมาธิ ไม่ใช่ทางสู่นิพพาน


ข้อ ๕

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ (ฌาน 1–4) แล้วจักละสังโยชน์ได้”
    การละสังโยชน์ต้องอาศัย ฌาน (สมาธิระดับสูง) อย่างน้อย ฌาน ๑–๔
    สมาธิเป็นพลังให้ปัญญาแทงตลอดอริยสัจจ์
    ถ้าไม่มีสมาธิ → ปัญญาไม่คมพอที่จะตัดสังโยชน์


ข้อ ๖

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ยังละสังโยชน์ไม่ได้แล้ว จักทำให้แจ้งนิพพานได้”
    •    สังโยชน์ = เครื่องผูกพัน ถ้ายังไม่ขาด ก็ยังเวียนว่ายตายเกิด
    การบรรลุนิพพานคือ “การดับสังโยชน์สิ้นเชิง”
    ดังนั้น ผู้ละสังโยชน์ไม่ได้ = ไม่มีวันบรรลุนิพพาน

สรุปลำดับตรรกะ
    1.    ชอบคลุกคลี → ไม่อาจรักวิเวก
    2.    ไม่รักวิเวก → ไม่อาจตั้งนิมิตแห่งจิต
    3.    ไม่นิมิตแห่งจิต → ไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ
    4.    ไม่มีสัมมาทิฏฐิ → สมาธิไม่สมบูรณ์
    5.    สมาธิไม่สมบูรณ์ → สังโยชน์ไม่ขาด
    6.    สังโยชน์ไม่ขาด → นิพพานไม่บังเกิด

เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์แล้วจักละสังโยชน์ ทำพระนิพพานให้แจ้งได้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย
             ๑. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่ ประกอบความชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นผู้ชอบคณะ๒-
ยินดีในคณะ ประกอบความยินดีในคณะ จักยินดีในปวิเวกตามลำพังได้
             ๒. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ยินดีในปวิเวกตามลำพังจักถือเอานิมิตแห่งจิตได้
             ๓. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ถือเอานิมิตแห่งจิต จักบำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้
             ๔. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้
             ๕. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ (ฌาน 1-4) แล้วจักละสังโยชน์ได้
             ๖. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ยังละสังโยชน์ไม่ได้แล้ว จักทำให้แจ้งนิพพานได้
             ภิกษุทั้งหลาย

สังคณิการามสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่