ธาตุรู้ คือ วิญญาน เป็นวิญญานธาตุ
วิญญานขันธ์ คือ วิญญานเช่นกัน เป็น
อาการของจิต
Q:แล้วต่างกันอย่างไร
A:จะเห็นได้ อะไรเป็นอย่างไรด้วยสติปัฐฐาน
A:วิญญานเป็นการรู้อาการของรูปนาม เช่น รู้ความคิด รู้สัญญา รู้เวทนา ในอายาตนขณะใดๆขณะหนึ่งๆ (รู้กิริยา)เช่น ทางตา หู จมูก ด้วยเอกคตาจิต(มีตัวรู้)
ส่วนจิตตัวจริงจะเป็นตัวนาม เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในกระบวนการรู้ความคิด สัญญา เวทนา นั้น เป็นอภิภายาตน เป็นฉากหลัง ที่คลุมการรู้ นั้น เป็นอินทรีย์
ในขณะสติปัฐฐาน จึงให้รู้ทั้ง2อย่าง “รู้ทั้งอาการและรู้ทั้งอินทรีย์”
A: ดังนั้น การกล่าวถึง ธาตุรู้นั้น เพื่อให้แยก วิญญานออกมาให้ชัดเจน
ในผู้มี สติ สัมแชัญญะ สมบูรณ์ จะเห็นทั้งธาตุรู้และวิญญานขันธ์
หมายาหตุ:แต่หากผู้นั้นปฏิบัติไม่เป็น แยกรูปนามไม่ได้ ไม่มีปัญญา(โง่) ก็จะเห็นแต่วิญญานที่เป็นอาการของจิต ไม่เห็นจิตตัวจริง ที่กว้างใหญ่ ไม่มีขอบเขต ที่เป็นฉากหลังอยู่นั้น ผลคือการปฎิบัติก็ไม่ถึงไหน
เตือนไว้แล้วนะ
แยกธาตุรู้ออกจากวิญญานขันธ์
วิญญานขันธ์ คือ วิญญานเช่นกัน เป็นอาการของจิต
Q:แล้วต่างกันอย่างไร
A:จะเห็นได้ อะไรเป็นอย่างไรด้วยสติปัฐฐาน
A:วิญญานเป็นการรู้อาการของรูปนาม เช่น รู้ความคิด รู้สัญญา รู้เวทนา ในอายาตนขณะใดๆขณะหนึ่งๆ (รู้กิริยา)เช่น ทางตา หู จมูก ด้วยเอกคตาจิต(มีตัวรู้)
ส่วนจิตตัวจริงจะเป็นตัวนาม เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในกระบวนการรู้ความคิด สัญญา เวทนา นั้น เป็นอภิภายาตน เป็นฉากหลัง ที่คลุมการรู้ นั้น เป็นอินทรีย์
ในขณะสติปัฐฐาน จึงให้รู้ทั้ง2อย่าง “รู้ทั้งอาการและรู้ทั้งอินทรีย์”
A: ดังนั้น การกล่าวถึง ธาตุรู้นั้น เพื่อให้แยก วิญญานออกมาให้ชัดเจน ในผู้มี สติ สัมแชัญญะ สมบูรณ์ จะเห็นทั้งธาตุรู้และวิญญานขันธ์
หมายาหตุ:แต่หากผู้นั้นปฏิบัติไม่เป็น แยกรูปนามไม่ได้ ไม่มีปัญญา(โง่) ก็จะเห็นแต่วิญญานที่เป็นอาการของจิต ไม่เห็นจิตตัวจริง ที่กว้างใหญ่ ไม่มีขอบเขต ที่เป็นฉากหลังอยู่นั้น ผลคือการปฎิบัติก็ไม่ถึงไหน
เตือนไว้แล้วนะ