แม้จะเริ่มต้นด้วยการขาย “ชาไทย” เพียว ๆ แบบจริงจัง แต่วันนี้
Karun Thai Tea กำลังขยายจากแบรนด์ชาไทย ไปสู่ธุรกิจใหม่ทั้ง
ชานมหลากสไตล์, ขนมปังสังขยา, และอาซาอิโบลว์ พร้อมมีแผนแตกแบรนด์ต่อในอนาคต
รัส-ธัญย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ ผู้ก่อตั้ง Karun Thai Tea (ยอดขายปีล่าสุด 160 ล้านบาท) ถึงการเติบโตจากเมนูเดียว สู่การสร้างพอร์ตธุรกิจหลากหลาย พร้อมมุมมองทำธุรกิจให้ยั่งยืน
จุดเริ่มต้นจากการ “รีเสิร์ชยันแก่น”
- ไม่ได้เริ่มจากแค่อยากขายชาไทย แต่ทำ
รีเสิร์ช หา pain point และวิเคราะห์ตลาด
- ตั้ง
persona ลูกค้า ชัดเจน เช่น ไลฟ์สไตล์ รายได้ การใช้จ่าย เพื่อกำหนดตัวตนแบรนด์
- เลือกใช้
Instagram เป็นหลัก เพราะตรงกับฐานลูกค้าและเน้นภาพสวย ๆ
ทำยังไงให้คนจำแบรนด์จากเมนูเดียว?
- ช่วงแรกขาย
ชาไทยเพียว ๆ เมนูเดียว เพื่อสร้างภาพว่าเป็น “มาสเตอร์ชาไทย”
- ต่อเนื่องด้วยการต่อยอดเมนู เช่น Slushy, คอลแลบกับแบรนด์อื่น, ทำขนม–ของคาว–สินค้าไลฟ์สไตล์
- 3 เมนูขายดี
ชาไทยเย็นซิกเนเจอร์
ชาไทย Slushy
ชาดำพุดดิ้งน้ำส้ม
ธุรกิจอาหาร = ธุรกิจแฟชัน?
- รัสมองว่า อาหารในไทยมาไวไปไวเหมือนแฟชัน
- Karun ต้องสร้าง “แฟนคลับ” ไม่ใช่แค่เกาะกระแส เพื่ออยู่ยาว
- เน้นคุณภาพ รสชาติ และภาพลักษณ์ให้ตรงกลุ่ม
ไม่วิ่งตามทุกกระแส
- Karun มีชาไทยไม่ใส่สีอยู่แล้ว และเพิ่งเปิดตัวชาไทยคั่วไม่ใส่สีทันกระแส
- แต่โดยรวมไม่ทำตามทุกเทรนด์ เพราะบางกระแสต้นทุนสูงและหายเร็ว
แตกแบรนด์ใหม่ จับลูกค้าหลายกลุ่ม
-
Avery Wong – ชานมสายสนุก นมแลคโตสฟรี ไม่มีสี–กลิ่นสังเคราะห์ จับกลุ่ม Gen Z
-
Jaren – ขนมปังสังขยาสูตรไทยแท้ เสิร์ฟคู่ชานม
-
Summer Bowl – อาซาอิโบลว์ เจาะตลาดเฮลท์ตี้
- ชาไทยยังเป็น “เบสหลัก” แต่แต่ละแบรนด์จับคนละมุม ตลาดไม่ทับกัน
ความท้าทายปัจจุบัน
- คนใช้จ่ายระวังขึ้น รอโปรโมชันจากแอปเดลิเวอรี
- นักท่องเที่ยวจีนลดลง กระทบสาขาในโซนท่องเที่ยว
- วัตถุดิบ–ค่าแรงสูงขึ้น ทำให้เป้าปีนี้ 220 ล้าน อาจได้ราว 180 ล้าน
🗝 บทเรียนสำหรับคนอยากเริ่มธุรกิจ
- ต้องมีความรู้จริง รีเสิร์ชให้หนัก เห็นภาพลูกค้าในหัว
- เตรียมหลายแผนรับมือโลกที่เปลี่ยนเร็ว
- ไม่กลัวคู่แข่ง เพราะทำให้ตลาดพัฒนาและเราพัฒนาตาม
ที่มา Brand Inside
Karun Thai Tea จากชาไทยเมนูเดียว สู่อาณาจักรเครื่องดื่ม–ขนม–เฮลท์ตี้ มูลค่าหลายร้อยล้าน 🍵🥖🍓
รัส-ธัญย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ ผู้ก่อตั้ง Karun Thai Tea (ยอดขายปีล่าสุด 160 ล้านบาท) ถึงการเติบโตจากเมนูเดียว สู่การสร้างพอร์ตธุรกิจหลากหลาย พร้อมมุมมองทำธุรกิจให้ยั่งยืน
จุดเริ่มต้นจากการ “รีเสิร์ชยันแก่น”
- ไม่ได้เริ่มจากแค่อยากขายชาไทย แต่ทำ รีเสิร์ช หา pain point และวิเคราะห์ตลาด
- ตั้ง persona ลูกค้า ชัดเจน เช่น ไลฟ์สไตล์ รายได้ การใช้จ่าย เพื่อกำหนดตัวตนแบรนด์
- เลือกใช้ Instagram เป็นหลัก เพราะตรงกับฐานลูกค้าและเน้นภาพสวย ๆ
ทำยังไงให้คนจำแบรนด์จากเมนูเดียว?
- ช่วงแรกขาย ชาไทยเพียว ๆ เมนูเดียว เพื่อสร้างภาพว่าเป็น “มาสเตอร์ชาไทย”
- ต่อเนื่องด้วยการต่อยอดเมนู เช่น Slushy, คอลแลบกับแบรนด์อื่น, ทำขนม–ของคาว–สินค้าไลฟ์สไตล์
- 3 เมนูขายดี
ชาไทยเย็นซิกเนเจอร์
ชาไทย Slushy
ชาดำพุดดิ้งน้ำส้ม
ธุรกิจอาหาร = ธุรกิจแฟชัน?
- รัสมองว่า อาหารในไทยมาไวไปไวเหมือนแฟชัน
- Karun ต้องสร้าง “แฟนคลับ” ไม่ใช่แค่เกาะกระแส เพื่ออยู่ยาว
- เน้นคุณภาพ รสชาติ และภาพลักษณ์ให้ตรงกลุ่ม
ไม่วิ่งตามทุกกระแส
- Karun มีชาไทยไม่ใส่สีอยู่แล้ว และเพิ่งเปิดตัวชาไทยคั่วไม่ใส่สีทันกระแส
- แต่โดยรวมไม่ทำตามทุกเทรนด์ เพราะบางกระแสต้นทุนสูงและหายเร็ว
แตกแบรนด์ใหม่ จับลูกค้าหลายกลุ่ม
- Avery Wong – ชานมสายสนุก นมแลคโตสฟรี ไม่มีสี–กลิ่นสังเคราะห์ จับกลุ่ม Gen Z
- Jaren – ขนมปังสังขยาสูตรไทยแท้ เสิร์ฟคู่ชานม
- Summer Bowl – อาซาอิโบลว์ เจาะตลาดเฮลท์ตี้
- ชาไทยยังเป็น “เบสหลัก” แต่แต่ละแบรนด์จับคนละมุม ตลาดไม่ทับกัน
ความท้าทายปัจจุบัน
- คนใช้จ่ายระวังขึ้น รอโปรโมชันจากแอปเดลิเวอรี
- นักท่องเที่ยวจีนลดลง กระทบสาขาในโซนท่องเที่ยว
- วัตถุดิบ–ค่าแรงสูงขึ้น ทำให้เป้าปีนี้ 220 ล้าน อาจได้ราว 180 ล้าน
🗝 บทเรียนสำหรับคนอยากเริ่มธุรกิจ
- ต้องมีความรู้จริง รีเสิร์ชให้หนัก เห็นภาพลูกค้าในหัว
- เตรียมหลายแผนรับมือโลกที่เปลี่ยนเร็ว
- ไม่กลัวคู่แข่ง เพราะทำให้ตลาดพัฒนาและเราพัฒนาตาม
ที่มา Brand Inside