สิ่งที่พ่อแม่มักสปอยด์จนกลายเป็นอุปสรรคในการเติบโตของลูก คือ การให้ในสิ่งที่คุณขาดอย่างไม่รู้จักพอ
และการให้ลูกทำเพื่อความฝันของตัวเอง พ่อแม่บางคนเคยยากจนและขาดแคลน เมื่อมีลูก
ไม่อยากให้ลูกตกอยู่ในสภาพเดียวกับตัวเอง บางคนเคยอยากได้รถเด็กเล่นในวัยเด็ก
พอมีลูก ซื้อรถเด็กเล่นมาฝากลูกทุกครั้ง ทำให้โลกการเล่นของลูกแคบโดยไม่รู้ตัว
และบ้างก็ทำงานตอนเลี้ยงลูกจนไม่ได้ทำตามความฝันของตนเอง
แต่ลืมไปว่า ลูกเองก็มีความถนัดและประสพการณ์ของเขา ลูกจึงไม่ใช่สิ่งโคลนนิ่งของพ่อแม่
แต่เป็นชีวิตที่มีส่วนผสมใหม่ เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากพ่อแม่
วิธีทำให้ลูกของคุณเติบโตสมวัย มีคุณภาพ และเป็นตัวของตัวเอง
มีอะไรบ้าง มาดูกัน
1. สอนลูกให้ทบทวนรายจ่ายแต่ละสัปดาห์
พูดคุยกับลูกเรื่องราคา และสอนให้จดรายจ่าย ซึ่งเขาจะเห็นว่า ความสุขชั่วคราว
ต้องแลกด้วยเงินจำนวนมาก บางบ้านซื้อของเล่นจนกลายเป็นขยะของบ้าน
คุณอาจชี้ให้เห็นว่าหากเราไม่ซื้อสิ่งนี้ เราอาจมีเงินมาซื้ออีกอย่างที่คุ้มค่าในระยะยาวมากกว่า
เช่น สอนว่าถ้าเราลดเงินสำหรับของเล่น 1 ปี เงินออมนั้นอาจพอสำหรับซื้อจักรยาน
หลายคนมองว่า เรารวยแล้ว ทำไมต้องปิดกั้น ยิ่งคุณมีบริษัท เมื่อลูกโตขึ้น
เขาควรเรียนรู้ กระแสการเงินของบริษัท รู้ว่าสิ่งใด คือ การลงทุนที่สูญเปล่า
ซึ่งเขาควรได้รับการสอนจากสิ่งเล็กๆ
2. ให้เงินก้อนเล็กๆกับลูก ให้เขาบริหารเงินด้วยตัวเอง
จำนวนเงินที่ให้ คือ การขีดเส้นรายจ่าย เมื่อลูกอายุ 10 ปี คุณอาจให้เงินเขาเป็นรายสัปดาห์
ให้เขาดูแลเงินด้วยตนเอง ความรอบคอบไม่ให้สูญหาย การพกเงินทีละไม่มาก
ควรได้รับการฝึกให้ปรับความต้องการให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของทรัพยากร
เมื่อเขาเติบโต เขาจะสามารถควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสมกับรายรับ
ฝึกใช้ความคิดให้หาวิธีที่ประหยัดได้มากกว่า โดยได้ทรัพยากรใกล้เคียงกัน แต่ต้นทุนที่ต่ำกว่า
เช่น ชี้แนะว่า ถ้าลูกช่วยกันประหยัดไฟ ลูกจะได้ค่าขนมเพิ่มขึ้นอีก 50 บาท ต่อเดือน เป็นต้น
3. ชี้มุมมองด้านการลงทุน สอนให้ลูกเห็นว่า การจ่ายเงินไม่ได้หมายความว่า หมดไป
บางการใช้จ่าย อาจทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เช่น การซื้อคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาทำผลงานได้ดีขึ้น
ได้รางวัลเป็นเงินกลับมา
4. ฝึกให้มีเป้าหมาย เด็กที่มีเป้าหมายจะเข้าใจคุณค่าของความพากเพียร
เช่น การแก้ปัญหา การฝึกซ้อม ต้องต่อสู้ด้วยความเหนื่อยยาก
ต้องแลกกับการไม่ทำสิ่งที่ต้องการ เพื่อให้ได้ผลงานที่ให้ความภาคภูมิใจ
ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเคร่งครัด จนสร้างภาวะกดดัน หรือ วางเป้าหมายที่ลูกไม่เอาด้วย
แต่การพูดคุยหาเป้าหมายร่วมกัน จะทำให้เขาทราบว่า สิ่งใดที่ควรทำ สิ่งใดที่ควรปล่อยวาง
ควรสอนเรื่องกลยุทธิ์สู่เป้าหมายที่หลากหลาย เพื่อเปิดมุมมอง ปรับความยืดหยุ่นทางความคิด แต่ไม่ใช่สอนให้คดโกง
อย่ารีบช่วยลูกเกินไป เพื่อให้ลูกได้อยู่ท่ามกลางปัญหา เกิดทักษะคลี่คลายภาวะวิกฤตด้วยตนเอง
เป็นกำลังใจให้ลูกไม่ถอดใจ แม้บางครั้งความพยายามอาจให้ผลเพียงความล้มเหลว
ชี้ให้เขาเห็นบทเรียนที่ได้เรียนรู้ อย่างน้อย เมื่อต้องทำสิ่งเดิมครั้งต่อไป ก็จะทำด้วยความมั่นใจ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้
5. การเข้าสังคม เด็กๆควรจะได้เรียนรู้เรื่องมารยาท
การทำความสะอาดร่างกาย การเอื้อเฟื้อ ไม่เห็นแก่ตัว
เพื่อให้เขาสามารถสร้างเพื่อน ไม่เป็นที่รังเกียจ
เขาควรได้รับการฝึกให้อดทนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ไม่อยู่กับตัวเองมากเกินไป จนทำให้มีมุมมองจำกัด
ขาดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
สอนวิธีประเมินความเสี่ยง เช่น อุบัติเหตุจากการเล่น
สอนวิธีพูดจา ไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาท
และแยกแยะระหว่างโลกของเกมส์ และโลกความจริง
การสร้างนิสัยการที่ดี จะทำให้ลูกรักษาความมั่นคงของครอบครัวไว้ได้
และทำให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ
อย่ารอให้ลูกโตแล้วค่อยสอน ในช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็ก
คำพูดของคุณจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจดจำในระยะยาว
เพราะสมองของเด็กไม่มีเรื่องยุ่งเหยิง พวกเขาโฟกัสที่ผู้ใหญ่ใกล้ตัว
สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็กจะสร้างตัวตนที่ดีในอนาคต
สร้างนิสัยลูกด้านการเงิน ความสำเร็จ และความสุขที่ยั่งยืน
และการให้ลูกทำเพื่อความฝันของตัวเอง พ่อแม่บางคนเคยยากจนและขาดแคลน เมื่อมีลูก
ไม่อยากให้ลูกตกอยู่ในสภาพเดียวกับตัวเอง บางคนเคยอยากได้รถเด็กเล่นในวัยเด็ก
พอมีลูก ซื้อรถเด็กเล่นมาฝากลูกทุกครั้ง ทำให้โลกการเล่นของลูกแคบโดยไม่รู้ตัว
และบ้างก็ทำงานตอนเลี้ยงลูกจนไม่ได้ทำตามความฝันของตนเอง
แต่ลืมไปว่า ลูกเองก็มีความถนัดและประสพการณ์ของเขา ลูกจึงไม่ใช่สิ่งโคลนนิ่งของพ่อแม่
แต่เป็นชีวิตที่มีส่วนผสมใหม่ เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากพ่อแม่
วิธีทำให้ลูกของคุณเติบโตสมวัย มีคุณภาพ และเป็นตัวของตัวเอง
มีอะไรบ้าง มาดูกัน
1. สอนลูกให้ทบทวนรายจ่ายแต่ละสัปดาห์
พูดคุยกับลูกเรื่องราคา และสอนให้จดรายจ่าย ซึ่งเขาจะเห็นว่า ความสุขชั่วคราว
ต้องแลกด้วยเงินจำนวนมาก บางบ้านซื้อของเล่นจนกลายเป็นขยะของบ้าน
คุณอาจชี้ให้เห็นว่าหากเราไม่ซื้อสิ่งนี้ เราอาจมีเงินมาซื้ออีกอย่างที่คุ้มค่าในระยะยาวมากกว่า
เช่น สอนว่าถ้าเราลดเงินสำหรับของเล่น 1 ปี เงินออมนั้นอาจพอสำหรับซื้อจักรยาน
หลายคนมองว่า เรารวยแล้ว ทำไมต้องปิดกั้น ยิ่งคุณมีบริษัท เมื่อลูกโตขึ้น
เขาควรเรียนรู้ กระแสการเงินของบริษัท รู้ว่าสิ่งใด คือ การลงทุนที่สูญเปล่า
ซึ่งเขาควรได้รับการสอนจากสิ่งเล็กๆ
2. ให้เงินก้อนเล็กๆกับลูก ให้เขาบริหารเงินด้วยตัวเอง
จำนวนเงินที่ให้ คือ การขีดเส้นรายจ่าย เมื่อลูกอายุ 10 ปี คุณอาจให้เงินเขาเป็นรายสัปดาห์
ให้เขาดูแลเงินด้วยตนเอง ความรอบคอบไม่ให้สูญหาย การพกเงินทีละไม่มาก
ควรได้รับการฝึกให้ปรับความต้องการให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของทรัพยากร
เมื่อเขาเติบโต เขาจะสามารถควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสมกับรายรับ
ฝึกใช้ความคิดให้หาวิธีที่ประหยัดได้มากกว่า โดยได้ทรัพยากรใกล้เคียงกัน แต่ต้นทุนที่ต่ำกว่า
เช่น ชี้แนะว่า ถ้าลูกช่วยกันประหยัดไฟ ลูกจะได้ค่าขนมเพิ่มขึ้นอีก 50 บาท ต่อเดือน เป็นต้น
3. ชี้มุมมองด้านการลงทุน สอนให้ลูกเห็นว่า การจ่ายเงินไม่ได้หมายความว่า หมดไป
บางการใช้จ่าย อาจทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เช่น การซื้อคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาทำผลงานได้ดีขึ้น
ได้รางวัลเป็นเงินกลับมา
4. ฝึกให้มีเป้าหมาย เด็กที่มีเป้าหมายจะเข้าใจคุณค่าของความพากเพียร
เช่น การแก้ปัญหา การฝึกซ้อม ต้องต่อสู้ด้วยความเหนื่อยยาก
ต้องแลกกับการไม่ทำสิ่งที่ต้องการ เพื่อให้ได้ผลงานที่ให้ความภาคภูมิใจ
ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเคร่งครัด จนสร้างภาวะกดดัน หรือ วางเป้าหมายที่ลูกไม่เอาด้วย
แต่การพูดคุยหาเป้าหมายร่วมกัน จะทำให้เขาทราบว่า สิ่งใดที่ควรทำ สิ่งใดที่ควรปล่อยวาง
ควรสอนเรื่องกลยุทธิ์สู่เป้าหมายที่หลากหลาย เพื่อเปิดมุมมอง ปรับความยืดหยุ่นทางความคิด แต่ไม่ใช่สอนให้คดโกง
อย่ารีบช่วยลูกเกินไป เพื่อให้ลูกได้อยู่ท่ามกลางปัญหา เกิดทักษะคลี่คลายภาวะวิกฤตด้วยตนเอง
เป็นกำลังใจให้ลูกไม่ถอดใจ แม้บางครั้งความพยายามอาจให้ผลเพียงความล้มเหลว
ชี้ให้เขาเห็นบทเรียนที่ได้เรียนรู้ อย่างน้อย เมื่อต้องทำสิ่งเดิมครั้งต่อไป ก็จะทำด้วยความมั่นใจ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้
5. การเข้าสังคม เด็กๆควรจะได้เรียนรู้เรื่องมารยาท
การทำความสะอาดร่างกาย การเอื้อเฟื้อ ไม่เห็นแก่ตัว
เพื่อให้เขาสามารถสร้างเพื่อน ไม่เป็นที่รังเกียจ
เขาควรได้รับการฝึกให้อดทนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ไม่อยู่กับตัวเองมากเกินไป จนทำให้มีมุมมองจำกัด
ขาดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
สอนวิธีประเมินความเสี่ยง เช่น อุบัติเหตุจากการเล่น
สอนวิธีพูดจา ไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาท
และแยกแยะระหว่างโลกของเกมส์ และโลกความจริง
การสร้างนิสัยการที่ดี จะทำให้ลูกรักษาความมั่นคงของครอบครัวไว้ได้
และทำให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ
อย่ารอให้ลูกโตแล้วค่อยสอน ในช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็ก
คำพูดของคุณจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจดจำในระยะยาว
เพราะสมองของเด็กไม่มีเรื่องยุ่งเหยิง พวกเขาโฟกัสที่ผู้ใหญ่ใกล้ตัว
สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็กจะสร้างตัวตนที่ดีในอนาคต