ช่วงที่ผ่านมา เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศคงอินกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีความขัดแย้ง จนเกิดการสู้รบกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศใครประเทศมัน
ทำให้ฝ่ายไทยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บค่อนข้างมาก ทั้งประชาชนคนธรรมดาและทหารกล้า ส่วนฝ่ายกัมพูชา มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้แน่ชัด
แต่คาดว่าน่าจะเยอะกว่าฝ่ายไทย
ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า น่าจะทำให้ผู้คนในสังคมไทย เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาในใจ
นั่นคือ ความรู้สึก “รักชาติ” (ไม่มากก็น้อย)
สำหรับตัวผมเอง ก่อนหน้านี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้ มันหายไป หรือมันซุกซ่อนอยู่ที่ไหน
แต่ช่วงที่มีการสู้รบกัน มันกลับพลุ่งพล่านขึ้นมา จนอยากไปอยู่แนวหน้ากับเหล่าทหารหาญ
และไม่รู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกนี้ มันจะอยู่ในใจของผม และของคนไทยไปอีกนานเท่าไหร่ แต่เข้าใจว่า มันน่าจะค่อยๆ ลดลง และอาจเลือนหายไป เมื่อมีข่าวนักการเมืองย้ายค่าย หรือข่าวดาราเตียงหักมาทดแทน
แต่ผมเชื่อว่า มันจะไม่เลือนหายไปจากใจของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์นี้
พ่อแม่ ผู้สูญเสียลูก
ลูก ผู้สูญเสียพ่อ
ภรรยา ผู้สูญเสียสามี
สามี ผู้สูญเสียภรรยาและลูก
ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ผู้สูญเสียลูกหลาน
ทหาร ผู้สูญเสียเพื่อนร่วมรบ
นายทหาร ผู้สูญเสียลูกน้อง
ฯลฯ
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องทำยังไง ถึงจะทำให้ความรู้สึก “รักชาติ” มันยังอยู่ในใจคนไทยไปนานๆ (แต่คงไม่ใช่การปลุกปั่น ยุแยงให้เกลียดและทะเลาะกับฝ่ายตรงข้าม)
โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะสนามเล็กหรือใหญ่
ถ้าคนไทย คิดถึงสังคมและประเทศชาติ มากกว่าตัวเองและพวกพ้อง บ้านเมืองเรามันจะเป็นยังไงนะ
อยากรู้และอยากเห็นจริงๆ...
พล่ามเขียนมาตั้งเยอะ ยังไม่เข้าเรื่องหลักเลย
ที่อยากเขียนถึงคือ ภาพยนต์เรื่อง “All Quiet on the Western Front” หนังของ Netflix จากเยอรมัน ดีกรีรางวัลออสการ์สาขาภาพยนต์ต่างประเทศยอดเยี่ยมประจำปี 2023 และอีกหลากหลายรางวัล ที่การันตีความเยี่ยมยอด
ที่เลือกดูภาพยนต์เรื่องนี้อีกครั้งในช่วงนี้ ก็เพราะอินกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานี่แหล่ะ
พอได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งอย่างตั้งใจ ยิ่งพบความดีงามมากกว่าครั้งแรกที่ดูเมื่อสองสามปีก่อน
นี่คือหนัง Anti-war ชั้นดีเรื่องหนึ่ง ที่นำเสนอเหตุการณ์ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผ่านชีวิตของวัยรุ่นเยอรมัน ผู้อาศัยอยู่ในเมืองที่สวยงาม มีชีวิตที่ดีและเพียบพร้อม แต่อยากสมัครเป็นทหารไปรบร่วมกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน เพื่อไปปักธงชาติที่กรุงปรารีส ตามคำปราศัยชวนเชื่อของผู้อาวุโส
ฉากเด็กหนุ่มจำนวนมากที่ใส่เสื้อและกางเกงสีขาว (บ้างถอดเสื้อ) กำลังเข้าแถวเพื่อส่งใบสมัคร พร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจเมื่อได้รับชุดทหารใหม่สีเขียวออกเทาเข้มๆ
เป็นการสื่อสารของหนังแบบไม่อ้อมค้อมว่า ผู้ใหญ่ กำลังสาดสีใส่ผ้าขาวของเด็กหนุ่ม โดยที่เด็กหนุ่มยิ้มรับด้วยความเต็มใจ โดยหารู้ไม่ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า
ยิ่งได้เห็นที่มาของชุดทหารที่เด็กหนุ่มได้รับ ซึ่งฉายให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ยิ่งเห็นภาพชัดเจนของการส่งต่ออะไรบางอย่างที่น่าสะอิดสะเอียน
อีกหนึ่งความจงใจของผู้สร้างคือ การฉายภาพความแตกต่างของการอยู่การกิน ระหว่างนายพลที่สั่งการรบอยู่ในแนวหลัง และพลทหารในแนวหน้า ที่อยู่อย่างยากลำบากและอดอยากปากแห้ง ถึงขนาดต้องออกไปขโมยของชาวบ้านมาทำกิน
มีการขยี้ซ้ำในประเด็นนี้ เมื่อพลทหารที่ผ่านการรบราฆ่าฟันมาอย่างโชกโชน รอดตายจากการต่อสู้ในสนามรบมาหลายครั้ง กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของเด็กชายลูกชาวบ้าน ที่เพียงต้องการปกป้องไข่เป็ดจากทหารหิวโซ
เป็นความตลกร้ายที่โคตรขมขื่น
ยิ่งฉากในตอนท้าย หลังการลงนามในสัญญาหยุดยิง ที่มีกำหนดเวลาการหยุดยิงที่ชัดเจนแล้ว เหล่าพลทหารต่างยินดีปรีดา จะได้กลับบ้านไปหาครอบครัวสักที
แต่เหล่านายพล กลับถือโอกาสรวบรวมกำลังพลที่เหลือรอดอยู่ สั่งการให้บุกโจมตีครั้งสุดท้าย ก่อนสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการฆ่าฟัน
เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของใครบางคน
ตอนดูหนังครั้งแรก ยังไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่ แต่พอมาดูอีกครั้งในคราวนี้ โดยเฉพาะหลังจากสัญญาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชามีผลบังคับใช้เมื่อไม่กี่วันก่อน
อารมณ์ร่วมและความรู้สึกหลากหลายมันปั่นป่วนอยู่ภายในใจ
สลดหดหู่
เศร้าหมอง
คับข้อง
อัดอั้น
สะเทือนใจ
ฯลฯ
ความโหดร้ายของสงคราม ไม่เคยปราณีใครผู้ใดที่ตัดสินใจก้าวขาเข้าร่วม มันพร้อมฉีกกระชากร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาเหล่าพลทหาร ที่ต่อสู้อยู่แนวหน้า ตามคำบัญชาของเหล่านายพล
ผู้ได้รับสิทธิ์และอำนาจในการสั่งให้ลูกหลานคนอื่นไปเข่นฆ่าคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักหรือแค้นเคืองกันมาก่อน
และไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยมานานเท่าไหร่ ความศิวิไลซ์จะเจริญก้าวล้ำไปมากขนาดไหน มนุษย์ยังคงขัดแย้ง และพร้อมเข้าห้ำหั่นกันอยู่ทุกยุคทุกสมัย
เหมือนเราไม่เคยได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายเหล่านี้เลย
อีกหนึ่งความรู้สึกที่ยังไม่ได้กล่าวถึง คือความโล่งใจ ที่ไทยกับกัมพูชาหยุดยิงกัน แม้จะต่างจากในหนังที่พอถึงเวลาหยุดยิง ก็หยุดยิงจริงๆ
ต่างฝ่ายต่างหยุดแบบ gentlemen แม้ปืนอยู่ในมือ ศัตรูอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ทุกคนหยุด แยกย้าย ฝ่ายใครฝ่ายมัน
ไม่มีติดปลายนวมต่ออีกหลายชั่วโมงเหมือนประเทศแถบนี้ ยังกะอยู่กันคนละ time zone
เสียดายไม่มีโอกาสได้ดูจอใหญ่ในโรงภาพยนต์ เพราะเป็นหนังฉายในระบบ streaming แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มตัวเอกได้อย่างชัดเจน ทั้งในช่วงแรกก่อนเข้าสู่สนามรบ ช่วงระหว่างและช่วงท้ายในสมรภูมิ
เป็นการฉายภาพความรู้สึกที่มีต่อสงครามผ่านสีหน้าแววตาที่แจ่มชัดมากๆ จนยากที่จะสลัดออกจากหัวผู้ชม
ยิ่งได้เสียงดนตรีประกอบภาพยนต์ที่ช่วยขับเน้นอารมณ์ของหนังออกมาได้อย่างจริงจัง ร่วมสมัยและแปลกประหลาด ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้มีความเข้มข้นอย่างโดดเด่น
ทั้งหมดทั้งมวลคือความยอดเยี่ยมของหนัง “All Quiet on the Western Front” ที่อยากแนะนำให้ดูอีกครั้ง สำหรับคนที่เคยดูแล้ว
ส่วนคนที่ยังไม่เคยดู ถ้าชีวิตคุณส่วนใหญ่ วิ่งเล่นอยู่แต่ในทุ่งลาเวนเดอร์ หรือนั่งไถมือถือตาม algorithm AI จะประเคนให้ในแต่ละวัน แล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปวิ่งเล่นในสนามเพลาะและโคลนตมดูบ้าง
ก็ลองเปิดหนังเรื่องนี้ดู
แล้วใช้สติปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ
คุณอาจเห็นว่า ผู้นำชาติ ผู้นำประเทศ หากปราศจากคุณธรรมและจริยธรรม ผู้รับกรรมคงหนีไม่พ้นเหล่าพลทหารและราษฎร
สงสารตัวเองและคนในประเทศเพื่อนบ้านจริงๆ
......
กระต่ายป่า
สงคราม-นายพล-พลทหาร-สัญญาหยุดยิง
ทำให้ฝ่ายไทยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บค่อนข้างมาก ทั้งประชาชนคนธรรมดาและทหารกล้า ส่วนฝ่ายกัมพูชา มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้แน่ชัด
แต่คาดว่าน่าจะเยอะกว่าฝ่ายไทย
ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า น่าจะทำให้ผู้คนในสังคมไทย เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาในใจ
นั่นคือ ความรู้สึก “รักชาติ” (ไม่มากก็น้อย)
สำหรับตัวผมเอง ก่อนหน้านี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้ มันหายไป หรือมันซุกซ่อนอยู่ที่ไหน
แต่ช่วงที่มีการสู้รบกัน มันกลับพลุ่งพล่านขึ้นมา จนอยากไปอยู่แนวหน้ากับเหล่าทหารหาญ
และไม่รู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกนี้ มันจะอยู่ในใจของผม และของคนไทยไปอีกนานเท่าไหร่ แต่เข้าใจว่า มันน่าจะค่อยๆ ลดลง และอาจเลือนหายไป เมื่อมีข่าวนักการเมืองย้ายค่าย หรือข่าวดาราเตียงหักมาทดแทน
แต่ผมเชื่อว่า มันจะไม่เลือนหายไปจากใจของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์นี้
พ่อแม่ ผู้สูญเสียลูก
ลูก ผู้สูญเสียพ่อ
ภรรยา ผู้สูญเสียสามี
สามี ผู้สูญเสียภรรยาและลูก
ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ผู้สูญเสียลูกหลาน
ทหาร ผู้สูญเสียเพื่อนร่วมรบ
นายทหาร ผู้สูญเสียลูกน้อง
ฯลฯ
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องทำยังไง ถึงจะทำให้ความรู้สึก “รักชาติ” มันยังอยู่ในใจคนไทยไปนานๆ (แต่คงไม่ใช่การปลุกปั่น ยุแยงให้เกลียดและทะเลาะกับฝ่ายตรงข้าม)
โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะสนามเล็กหรือใหญ่
ถ้าคนไทย คิดถึงสังคมและประเทศชาติ มากกว่าตัวเองและพวกพ้อง บ้านเมืองเรามันจะเป็นยังไงนะ
อยากรู้และอยากเห็นจริงๆ...
พล่ามเขียนมาตั้งเยอะ ยังไม่เข้าเรื่องหลักเลย
ที่อยากเขียนถึงคือ ภาพยนต์เรื่อง “All Quiet on the Western Front” หนังของ Netflix จากเยอรมัน ดีกรีรางวัลออสการ์สาขาภาพยนต์ต่างประเทศยอดเยี่ยมประจำปี 2023 และอีกหลากหลายรางวัล ที่การันตีความเยี่ยมยอด
ที่เลือกดูภาพยนต์เรื่องนี้อีกครั้งในช่วงนี้ ก็เพราะอินกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานี่แหล่ะ
พอได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งอย่างตั้งใจ ยิ่งพบความดีงามมากกว่าครั้งแรกที่ดูเมื่อสองสามปีก่อน
นี่คือหนัง Anti-war ชั้นดีเรื่องหนึ่ง ที่นำเสนอเหตุการณ์ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผ่านชีวิตของวัยรุ่นเยอรมัน ผู้อาศัยอยู่ในเมืองที่สวยงาม มีชีวิตที่ดีและเพียบพร้อม แต่อยากสมัครเป็นทหารไปรบร่วมกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน เพื่อไปปักธงชาติที่กรุงปรารีส ตามคำปราศัยชวนเชื่อของผู้อาวุโส
ฉากเด็กหนุ่มจำนวนมากที่ใส่เสื้อและกางเกงสีขาว (บ้างถอดเสื้อ) กำลังเข้าแถวเพื่อส่งใบสมัคร พร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจเมื่อได้รับชุดทหารใหม่สีเขียวออกเทาเข้มๆ
เป็นการสื่อสารของหนังแบบไม่อ้อมค้อมว่า ผู้ใหญ่ กำลังสาดสีใส่ผ้าขาวของเด็กหนุ่ม โดยที่เด็กหนุ่มยิ้มรับด้วยความเต็มใจ โดยหารู้ไม่ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า
ยิ่งได้เห็นที่มาของชุดทหารที่เด็กหนุ่มได้รับ ซึ่งฉายให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ยิ่งเห็นภาพชัดเจนของการส่งต่ออะไรบางอย่างที่น่าสะอิดสะเอียน
อีกหนึ่งความจงใจของผู้สร้างคือ การฉายภาพความแตกต่างของการอยู่การกิน ระหว่างนายพลที่สั่งการรบอยู่ในแนวหลัง และพลทหารในแนวหน้า ที่อยู่อย่างยากลำบากและอดอยากปากแห้ง ถึงขนาดต้องออกไปขโมยของชาวบ้านมาทำกิน
มีการขยี้ซ้ำในประเด็นนี้ เมื่อพลทหารที่ผ่านการรบราฆ่าฟันมาอย่างโชกโชน รอดตายจากการต่อสู้ในสนามรบมาหลายครั้ง กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของเด็กชายลูกชาวบ้าน ที่เพียงต้องการปกป้องไข่เป็ดจากทหารหิวโซ
เป็นความตลกร้ายที่โคตรขมขื่น
ยิ่งฉากในตอนท้าย หลังการลงนามในสัญญาหยุดยิง ที่มีกำหนดเวลาการหยุดยิงที่ชัดเจนแล้ว เหล่าพลทหารต่างยินดีปรีดา จะได้กลับบ้านไปหาครอบครัวสักที
แต่เหล่านายพล กลับถือโอกาสรวบรวมกำลังพลที่เหลือรอดอยู่ สั่งการให้บุกโจมตีครั้งสุดท้าย ก่อนสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการฆ่าฟัน
เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของใครบางคน
ตอนดูหนังครั้งแรก ยังไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่ แต่พอมาดูอีกครั้งในคราวนี้ โดยเฉพาะหลังจากสัญญาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชามีผลบังคับใช้เมื่อไม่กี่วันก่อน
อารมณ์ร่วมและความรู้สึกหลากหลายมันปั่นป่วนอยู่ภายในใจ
สลดหดหู่
เศร้าหมอง
คับข้อง
อัดอั้น
สะเทือนใจ
ฯลฯ
ความโหดร้ายของสงคราม ไม่เคยปราณีใครผู้ใดที่ตัดสินใจก้าวขาเข้าร่วม มันพร้อมฉีกกระชากร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาเหล่าพลทหาร ที่ต่อสู้อยู่แนวหน้า ตามคำบัญชาของเหล่านายพล
ผู้ได้รับสิทธิ์และอำนาจในการสั่งให้ลูกหลานคนอื่นไปเข่นฆ่าคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักหรือแค้นเคืองกันมาก่อน
และไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยมานานเท่าไหร่ ความศิวิไลซ์จะเจริญก้าวล้ำไปมากขนาดไหน มนุษย์ยังคงขัดแย้ง และพร้อมเข้าห้ำหั่นกันอยู่ทุกยุคทุกสมัย
เหมือนเราไม่เคยได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายเหล่านี้เลย
อีกหนึ่งความรู้สึกที่ยังไม่ได้กล่าวถึง คือความโล่งใจ ที่ไทยกับกัมพูชาหยุดยิงกัน แม้จะต่างจากในหนังที่พอถึงเวลาหยุดยิง ก็หยุดยิงจริงๆ
ต่างฝ่ายต่างหยุดแบบ gentlemen แม้ปืนอยู่ในมือ ศัตรูอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ทุกคนหยุด แยกย้าย ฝ่ายใครฝ่ายมัน
ไม่มีติดปลายนวมต่ออีกหลายชั่วโมงเหมือนประเทศแถบนี้ ยังกะอยู่กันคนละ time zone
เสียดายไม่มีโอกาสได้ดูจอใหญ่ในโรงภาพยนต์ เพราะเป็นหนังฉายในระบบ streaming แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มตัวเอกได้อย่างชัดเจน ทั้งในช่วงแรกก่อนเข้าสู่สนามรบ ช่วงระหว่างและช่วงท้ายในสมรภูมิ
เป็นการฉายภาพความรู้สึกที่มีต่อสงครามผ่านสีหน้าแววตาที่แจ่มชัดมากๆ จนยากที่จะสลัดออกจากหัวผู้ชม
ยิ่งได้เสียงดนตรีประกอบภาพยนต์ที่ช่วยขับเน้นอารมณ์ของหนังออกมาได้อย่างจริงจัง ร่วมสมัยและแปลกประหลาด ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้มีความเข้มข้นอย่างโดดเด่น
ทั้งหมดทั้งมวลคือความยอดเยี่ยมของหนัง “All Quiet on the Western Front” ที่อยากแนะนำให้ดูอีกครั้ง สำหรับคนที่เคยดูแล้ว
ส่วนคนที่ยังไม่เคยดู ถ้าชีวิตคุณส่วนใหญ่ วิ่งเล่นอยู่แต่ในทุ่งลาเวนเดอร์ หรือนั่งไถมือถือตาม algorithm AI จะประเคนให้ในแต่ละวัน แล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปวิ่งเล่นในสนามเพลาะและโคลนตมดูบ้าง
ก็ลองเปิดหนังเรื่องนี้ดู
แล้วใช้สติปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ
คุณอาจเห็นว่า ผู้นำชาติ ผู้นำประเทศ หากปราศจากคุณธรรมและจริยธรรม ผู้รับกรรมคงหนีไม่พ้นเหล่าพลทหารและราษฎร
สงสารตัวเองและคนในประเทศเพื่อนบ้านจริงๆ
......
กระต่ายป่า