ประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่คืองบกลาโหมโดยประมาณในปี 2024 (บางข้อมูลอาจเป็นปีงบประมาณที่คาบเกี่ยว 2024-2025) โดยเรียงจากมากไปน้อย และแปลงเป็นหน่วยเงินบาทไทย
* จีน: 11,448,590 ล้านบาท (313,658 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ญี่ปุ่น: 2,017,451 ล้านบาท (55,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* เกาหลีใต้: 1,736,041 ล้านบาท (47,571 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ไต้หวัน: 601,375 ล้านบาท (16,475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* สิงคโปร์: 550,727 ล้านบาท (15,061 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* อินโดนีเซีย: 403,069 ล้านบาท (11,043 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ฟิลิปปินส์: 223,307 ล้านบาท (6,118 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ไทย: 201,570 ล้านบาท (5,522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* เมียนมา: 182,901 ล้านบาท (5,011 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* มาเลเซีย: 157,424 ล้านบาท (4,313 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* บังคลาเทศ: 147,277 ล้านบาท (4,035 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* กัมพูชา: 26,280 ล้านบาท (720 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* บรูไน: 20,403 ล้านบาท (559 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ติมอร์-เลสเต: 1,693 ล้านบาท (46.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ข้อมูลสำหรับเวียดนามยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนในปี 2024 ในแหล่งข้อมูลที่พบ.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การหางบกลาโหมที่แน่นอนของเวียดนามเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากเวียดนามมักไม่เปิดเผยข้อมูลนี้อย่างโปร่งใสเท่าประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่และประมาณการต่างๆ สามารถสรุปได้ดังนี้:
งบประมาณกลาโหมเวียดนาม (โดยประมาณ)
* ปี 2023:
* มีรายงานว่าอยู่ที่ประมาณ 4,961.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 181,100 ล้านบาทไทย)
* บางแหล่งยังระบุถึงการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนภาครัฐ (public investment disbursement) ในปี 2023 กว่า 23,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงกระทรวงกลาโหมด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเลขงบกลาโหมโดยตรงทั้งหมด
* ปี 2024:
* มีรายงานคาดการณ์ว่าอยู่ที่ประมาณ 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 284,700 ล้านบาทไทย)
* บางแหล่งยังมีการคาดการณ์ที่สูงขึ้นถึง 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 532,900 ล้านบาทไทย) ซึ่งอาจเป็นตัวเลขที่รวมการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หรือเป็นข้อมูลที่แตกต่างจากแหล่งอื่น ๆ
* ปี 2025:
* มีการคาดการณ์ว่า งบประมาณด้านกลาโหมจะยังคงเพิ่มขึ้น โดยรายงานบางฉบับระบุว่าตลาดกลาโหมของเวียดนามคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR (Compound Annual Growth Rate) ที่ 7.3% ระหว่างปี 2025-2029 ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
* มีการเสนอการจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนสาธารณะราว 791 ล้านล้านดองเวียดนาม (ราว 1.04 ล้านล้านบาท) ในปี 2025 ซึ่งอาจรวมถึงส่วนของกลาโหมด้วย
ข้อสังเกต:
* ความไม่โปร่งใส: เวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างปกปิดข้อมูลด้านงบประมาณกลาโหม ทำให้การได้มาซึ่งตัวเลขที่แม่นยำเป็นเรื่องยาก
* แหล่งข้อมูล: ตัวเลขข้างต้นมาจากแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีการใช้ระเบียบวิธีที่ต่างกันในการประมาณการ ทำให้ตัวเลขมีความคลาดเคลื่อนได้
* การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง: แนวโน้มโดยรวมของงบกลาโหมเวียดนามแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยและการเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้
โดยสรุปแล้ว งบกลาโหมของเวียดนามในช่วงปี 2023-2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าตัวเลขที่แน่นอนจะมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา
ซึ่งการแจกเงินฟรีนั้นเนมือน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การแจกเงินของรัฐ: พลุสว่างวาบ ทิ้งควันพิษยาวนาน
นโยบายแจกเงินของรัฐ หรือที่มักเรียกว่า "ประชานิยม" นั้น เปรียบได้ดั่งพลุที่ถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน มันสว่างวาบจับตา สร้างความตื่นตาตื่นใจและความหวังให้กับผู้คนในชั่วพริบตา แต่เมื่อแสงสว่างนั้นดับลง สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือกลุ่มควันพิษที่ลอยอ้อยอิ่ง ทิ้งผลกระทบระยะยาวต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมิอาจปฏิเสธได้
แสงสว่างวาบของพลุ: ความหวังระยะสั้น
ในยามที่เศรษฐกิจซบเซา ประชาชนขาดสภาพคล่อง การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบโดยตรงผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐเปรียบเสมือนการบรรเทาทุกข์เฉพาะหน้า เป็นการเยียวยาบาดแผลทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว เงินที่กระจายสู่มือประชาชนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับฐานราก ร้านค้ารายย่อยมีเงินหมุนเวียน พ่อค้าแม่ขายพอมีรอยยิ้มได้บ้างจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นชั่วขณะ ตัวเลขการบริโภคในประเทศดีดตัวสูงขึ้น สร้างภาพมายาของพลุไฟที่สว่างไสวเต็มท้องฟ้า ว่าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นคืนกลับมาแข็งแกร่ง
โครงการต่างๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น "เช็คช่วยชาติ" "เราไม่ทิ้งกัน" "คนละครึ่ง" หรือล่าสุดกับ "ดิจิทัลวอลเล็ต" ล้วนมุ่งหวังที่จะสร้าง "พายุหมุนทางเศรษฐกิจ" ให้เงินที่ใส่เข้าไปหมุนเวียนหลายรอบ ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคัก สำหรับประชาชนผู้เปราะบางและผู้มีรายได้น้อย เงินจำนวนนี้อาจหมายถึงโอกาสในการปลดหนี้สินบางส่วน หรือซื้อหาสิ่งของจำเป็นที่ขาดแคลน เป็นการต่อลมหายใจให้ชีวิตไปได้อีกเฮือกหนึ่ง
ควันพิษที่ถูกทิ้งไว้: ผลกระทบระยะยาว
ทว่าเมื่อแสงแห่งพลุได้จางหาย ความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏ สิ่งที่ตามมาคือ "ควันพิษ" ที่ส่งผลเสียในระยะยาวและกัดกร่อนโครงสร้างของประเทศอย่างช้าๆ
* ภาระหนี้สาธารณะที่พอกพูน: แหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในการแจกส่วนใหญ่มักมาจากการกู้ยืม ซึ่งเป็นการสร้างภาระผูกพันทางการคลังให้กับคนทั้งประเทศในอนาคต หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นหมายถึงงบประมาณที่ต้องถูกเจียดไปเพื่อชำระคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย แทนที่จะถูกนำไปใช้ในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว เช่น การศึกษา การสาธารณสุข หรือการวิจัยและพัฒนา
* การบิดเบือนกลไกตลาดและพฤติกรรมประชาชน: การแจกเงินสร้างความคาดหวังและอาจนำไปสู่ภาวะ "เสพติดประชานิยม" ประชาชนอาจลดทอนการพึ่งพาตนเองและรอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอาจไม่นำไปสู่การลงทุนที่ยั่งยืน หลายครั้งเงินที่ได้รับถูกนำไปใช้จ่ายกับสินค้าฟุ่มเฟือย หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือการนำไปชำระหนี้สินเดิม ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจตามที่คาดหวังไว้ แต่กลับเป็นการย้ายเงินจากภาครัฐไปสู่สถาบันการเงินเท่านั้น
* ปัญหาเงินเฟ้อและการขึ้นราคาสินค้า: เมื่อความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กำลังการผลิตเท่าเดิม ย่อมนำไปสู่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ผู้ประกอบการบางรายอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า สุดท้ายแล้วอำนาจซื้อที่แท้จริงของประชาชนอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คิด
* ละเลยการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง: การมุ่งเน้นนโยบายแจกเงินทำให้รัฐบาลอาจละเลยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกของประเทศ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การขาดแคลนทักษะแรงงาน หรือการปฏิรูปกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน การแก้ปัญหาด้วยการแจกเงินจึงเป็นเพียงการซื้อเวลาและซุกซ่อนปัญหาไว้ใต้พรม รอวันที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ดังนั้น การแจกเงินของรัฐแม้จะสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนในระยะสั้น และอาจมีความจำเป็นในภาวะวิกฤต แต่หากใช้เป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยปราศจากความระมัดระวังและแผนการปฏิรูปโครงสร้างควบคู่กันไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการจุดพลุที่สว่างไสวเพียงชั่วครู่ แล้วทิ้งไว้เพียงมลพิษทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอีกมหาศาลในการเยียวยาแก้ไขให้กลับคืนดังเดิม
แต่การทุ่มเงินในด้านกลาโหมนั้น เสมือน..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การทุ่มเงินลงทุนในกิจการกลาโหมนั้น เปรียบเสมือนการสร้างเสาหลักที่ค้ำจุนบ้านเมืองให้ตั้งอยู่อย่างสง่างามและปลอดภัย เป็นการบรรยายถึง "ความดี" และ "ความมั่นคง" ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขและมีศักดิ์ศรี
๑. ความมั่นคง: เกราะป้องกันแห่งอธิปไตยและสันติภาพ
หัวใจสำคัญของการลงทุนด้านกลาโหมคือการสร้าง ความมั่นคง (Security) ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาทั้งปวง หากปราศจากความมั่นคงแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองในด้านอื่นย่อมเกิดขึ้นได้ยาก
* การปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน: งบประมาณกลาโหมคือหลักประกันว่าแผ่นดิน ผืนน้ำ และน่านฟ้าของชาติจะถูกปกป้องไว้จากการรุกรานทุกรูปแบบ เป็นการประกาศศักยภาพว่าชาติพร้อมที่จะปกป้องเอกราชและผลประโยชน์ของตนเองไว้เสมอ
* การป้องปราม (Deterrence): การมีกองทัพที่เข้มแข็งและทันสมัย คือการส่งสัญญาณไปยังผู้ที่ไม่หวังดีว่าการคุกคามหรือรุกรานจะตามมาด้วยต้นทุนที่สูงเกินกว่าจะยอมรับได้ สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงของสงครามและสร้างสภาวะแห่งสันติภาพที่ยั่งยืน ทำให้ประเทศสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเต็มที่
* การพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ: นอกจากการป้องกันประเทศแล้ว กองทัพยังมีภารกิจในการคุ้มครองเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญ รักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเชื่อมโยงโดยตรงกับความกินดีอยู่ดีของประชาชน
๒. ความดี: พลังที่สร้างสรรค์และเกื้อกูลสังคม
นอกเหนือจากภารกิจด้านความมั่นคงแล้ว การลงทุนด้านกลาโหมยังก่อให้เกิด ความดี (Goodness) ในมิติอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง
* ผู้พิทักษ์ประชาชนในยามวิกฤต: กองทัพคือหน่วยงานที่มีศักยภาพสูงสุดในการเข้าช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดสาธารณภัยร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย, วาตภัย, แผ่นดินไหว หรือภัยแล้ง กำลังพลและยุทโธปกรณ์ของกองทัพคือเครื่องมือสำคัญที่เข้าถึงพื้นที่และบรรเทาทุกข์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เป็นที่พึ่งแรกของประชาชนในยามเดือดร้อน
* พลังขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี: อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นแหล่งบ่มเพาะเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูงจำนวนมาก การวิจัยและพัฒนาด้านการทหารได้นำไปสู่การค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต่อมาถูกนำมาปรับใช้ในภาคพลเรือน (Spin-off Technology) เช่น ระบบนำทางด้วยดาวเทียม (GPS), เทคโนโลยีโดรน, การสื่อสารผ่านดาวเทียม และวัสดุศาสตร์ขั้นสูง ซึ่งช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
* สัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิและเอกภาพ: กองทัพที่สง่างามและมีระเบียบวินัย คือสัญลักษณ์แห่งความมีเอกภาพ ความเป็นปึกแผ่น และเกียรติภูมิของชาติในเวทีโลก ช่วยสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนในชาติ และเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสียสละของบรรพบุรุษที่ได้รักษาแผ่นดินนี้ไว้
โดยสรุป เมื่อมองจากมุมนี้ การทุ่มเงินด้านกลาโหมจึงไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า แต่คือการลงทุนที่จำเป็นและคุ้มค่า เพื่อสร้าง "เกราะป้องกัน" ที่แข็งแกร่งให้แก่ประเทศชาติ พร้อมกับเป็น "พลังสร้างสรรค์" ที่คอยเกื้อกูลและผลักดันสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
งบกลาโหมของพี้น้องทหารไทย ที่พอๆกับพม่า หรือพอๆกับการแจกเงิน ฟรี เพียงงวดเดียว
ประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่คืองบกลาโหมโดยประมาณในปี 2024 (บางข้อมูลอาจเป็นปีงบประมาณที่คาบเกี่ยว 2024-2025) โดยเรียงจากมากไปน้อย และแปลงเป็นหน่วยเงินบาทไทย
* จีน: 11,448,590 ล้านบาท (313,658 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ญี่ปุ่น: 2,017,451 ล้านบาท (55,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* เกาหลีใต้: 1,736,041 ล้านบาท (47,571 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ไต้หวัน: 601,375 ล้านบาท (16,475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* สิงคโปร์: 550,727 ล้านบาท (15,061 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* อินโดนีเซีย: 403,069 ล้านบาท (11,043 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ฟิลิปปินส์: 223,307 ล้านบาท (6,118 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ไทย: 201,570 ล้านบาท (5,522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* เมียนมา: 182,901 ล้านบาท (5,011 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* มาเลเซีย: 157,424 ล้านบาท (4,313 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* บังคลาเทศ: 147,277 ล้านบาท (4,035 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* กัมพูชา: 26,280 ล้านบาท (720 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* บรูไน: 20,403 ล้านบาท (559 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
* ติมอร์-เลสเต: 1,693 ล้านบาท (46.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ข้อมูลสำหรับเวียดนามยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนในปี 2024 ในแหล่งข้อมูลที่พบ.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งการแจกเงินฟรีนั้นเนมือน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่การทุ่มเงินในด้านกลาโหมนั้น เสมือน..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้