เนโสห
มสฺมิ(นั่นไม่ใช่เป็น
เรา)
มสฺมิ เป็นคำที่ผสมแล้วซึ่งมาจากคำว่า
อสฺมิ
บทว่า
อสฺมิ ได้แก่ การถือว่าเรามีอยู่ (
อัสมิมานะ).
ดังนั้นคำว่า
อสฺมิ จึงแปลว่า (
เรา)
บทวิเคราะห์
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 289
[๓๗๐]
ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรละเป็นไฉน คือ
อัสมิมานะ นี้ธรรมอย่างหนึ่ง
ที่ควรละ ฯ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=11&A=7037&w=%CD%D1%CA%C1%D4%C1%D2%B9%D0
จากพระสูตรนี้ ให้
ละความเป็นเรา
เพราะฉะนั้น
เรา ก็คือ
ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรละ นั่นเอง
ยังมีพระสูตรเพิ่มเติมอีก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้า 211-212
[๓๕๐] ดูกรอานนท์ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นี้แล ซึ่งเป็นที่ที่ภิกษุพึงเป็น
ผู้พิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับอยู่ว่า อย่างนี้รูป อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป
อย่างนี้ความดับแห่งรูป อย่างนี้เวทนา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา อย่างนี้
ความดับแห่งเวทนา อย่างนี้สัญญา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา อย่างนี้ความ
ดับแห่งสัญญา อย่างนี้สังขาร อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร อย่างนี้ความดับ
แห่งสังขาร อย่างนี้วิญญาณ อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ อย่างนี้ความดับ
แห่งวิญญาณ เธอผู้พิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้อยู่
ย่อมละ
อัสมิมานะในอุปาทานขันธ์ ๕ ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เราละ
อัสมิมานะในอุปาทานขันธ์ ๕ ของเราได้แล้ว ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอ
รู้สึกตัวในเรื่องอุปาทานขันธ์ ๕ ฯ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=14&A=4846&w=%CD%D1%CA%C1%D4%C1%D2%B9%D0
และ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต หน้า 325
ข้อ 205
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แหละภิกษุนั้นตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้แล้ว พึง
เจริญธรรม ๔ ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ พึงเจริญอสุภะเพื่อละราคะ พึงเจริญ
เมตตาเพื่อละความพยาบาท พึงเจริญอานาปานสติเพื่อเข้าไปตัดวิตก พึงเจริญ
อนิจจสัญญาเพื่อถอนอัสมิมานะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนัตตสัญญาย่อมปรากฏแก่
ภิกษุผู้ได้อนิจจสัญญา ผู้ที่ได้อนัตตสัญญาย่อมบรรลุนิพพาน อันถอนเสียได้ซึ่ง
อัสมิมานะในปัจจุบันทีเดียว ฯ"
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=23&A=7460&w=%CD%D1%CA%C1%D4%C1%D2%B9%D0
สรุปคือ
ต้องละความเป็น เรา ถึงจะบรรลุนิพพานได้
บทสรุป เนโสหมสฺมิ(นั่นไม่ใช่เป็นเรา) แล้วเราคือ?
มสฺมิ เป็นคำที่ผสมแล้วซึ่งมาจากคำว่า อสฺมิ
บทว่า อสฺมิ ได้แก่ การถือว่าเรามีอยู่ (อัสมิมานะ).
ดังนั้นคำว่า อสฺมิ จึงแปลว่า (เรา)
บทวิเคราะห์
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 289
[๓๗๐] ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรละเป็นไฉน คืออัสมิมานะ นี้ธรรมอย่างหนึ่ง
ที่ควรละ ฯ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=11&A=7037&w=%CD%D1%CA%C1%D4%C1%D2%B9%D0
จากพระสูตรนี้ ให้ ละความเป็นเรา
เพราะฉะนั้น เรา ก็คือ ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรละ นั่นเอง
ยังมีพระสูตรเพิ่มเติมอีก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้า 211-212
[๓๕๐] ดูกรอานนท์ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นี้แล ซึ่งเป็นที่ที่ภิกษุพึงเป็น
ผู้พิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับอยู่ว่า อย่างนี้รูป อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป
อย่างนี้ความดับแห่งรูป อย่างนี้เวทนา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา อย่างนี้
ความดับแห่งเวทนา อย่างนี้สัญญา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา อย่างนี้ความ
ดับแห่งสัญญา อย่างนี้สังขาร อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร อย่างนี้ความดับ
แห่งสังขาร อย่างนี้วิญญาณ อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ อย่างนี้ความดับ
แห่งวิญญาณ เธอผู้พิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้อยู่
ย่อมละอัสมิมานะในอุปาทานขันธ์ ๕ ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เราละอัสมิมานะในอุปาทานขันธ์ ๕ ของเราได้แล้ว ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอ
รู้สึกตัวในเรื่องอุปาทานขันธ์ ๕ ฯ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=14&A=4846&w=%CD%D1%CA%C1%D4%C1%D2%B9%D0
และ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต หน้า 325
ข้อ 205
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แหละภิกษุนั้นตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้แล้ว พึง
เจริญธรรม ๔ ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ พึงเจริญอสุภะเพื่อละราคะ พึงเจริญ
เมตตาเพื่อละความพยาบาท พึงเจริญอานาปานสติเพื่อเข้าไปตัดวิตก พึงเจริญ
อนิจจสัญญาเพื่อถอนอัสมิมานะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนัตตสัญญาย่อมปรากฏแก่
ภิกษุผู้ได้อนิจจสัญญา ผู้ที่ได้อนัตตสัญญาย่อมบรรลุนิพพาน อันถอนเสียได้ซึ่ง
อัสมิมานะในปัจจุบันทีเดียว ฯ"
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=23&A=7460&w=%CD%D1%CA%C1%D4%C1%D2%B9%D0
สรุปคือ
ต้องละความเป็น เรา ถึงจะบรรลุนิพพานได้