เป็นสิ่งที่เคยอ่านมา แล้วก็เอ๊ะหลายรอบมาก เพราะมันมีความย้อนแย้งกับโลกปัจจุบันที่เป็นอยู่
ใช่แหละครับว่าโลกขับเคลื่อนด้วยกิเลส ในทางโลกการมีกิเลสก็ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความธรรมดานี้กลับถูกพูดถึงในตาลปุตสูตร
ซึ่งกล่าไว้ว่า “เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้ง แห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เราย่อมกล่าวคติสองอย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ“
แต่มันคงไม่ใช่แค่นักร้อง นักแสดงที่จะก่อราคะและโมหะให้กับผู้อื่นอย่างเดียวน่ะสิ
เช่น เซลขายของต้องคอยเรียกลูกค้าหรือใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าสนใจ (ก่อราคะ โมหะ ให้แก่ผู้อื่น) หรือ เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างผมฉีดน้ำหอมออกจากบ้าน แค่นี้มันก็กระตุ้นราคะ โมหะ ได้แล้ว
ถ้าจะตีความตามตาลปุตตสูตร พวกเราคงไม่รอดกันแหละครับ เพราะกิเลสต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่กับโลก
หรือการปฏินวัฒกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม คนอาจจะมองว่าดีมีประโยชน์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กระตุ้นและเพื่อตอบสนองความต้องการหรือกิเลสของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
ที่กล่าวมานี้ก็อยากชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ตรัสไว้ในตาลปุตสูตรและโลกปัจจุบัน ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ควรจะใช้กิเลสต่ออย่างไรดีครับ?
ไม่เคยสงสัยเลยจนมาเจอตาลปุตสูตร เลยงงครับ พูดผิดส่วนไหนก็ขอโทษด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับคนทีเข้ามาแชร์ความเห็นนะครับ
ตามตาลปุตสูตร นักเต้นรำต้องตกอบายเพราะการก่อราคะให้กับผู้ชม แต่ในปัจจุบันหลายการกระทำล้วนก่อกิเลสและราคะจะอยู่ยังไง?
ใช่แหละครับว่าโลกขับเคลื่อนด้วยกิเลส ในทางโลกการมีกิเลสก็ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความธรรมดานี้กลับถูกพูดถึงในตาลปุตสูตร
ซึ่งกล่าไว้ว่า “เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้ง แห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เราย่อมกล่าวคติสองอย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ“
แต่มันคงไม่ใช่แค่นักร้อง นักแสดงที่จะก่อราคะและโมหะให้กับผู้อื่นอย่างเดียวน่ะสิ
เช่น เซลขายของต้องคอยเรียกลูกค้าหรือใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าสนใจ (ก่อราคะ โมหะ ให้แก่ผู้อื่น) หรือ เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างผมฉีดน้ำหอมออกจากบ้าน แค่นี้มันก็กระตุ้นราคะ โมหะ ได้แล้ว
ถ้าจะตีความตามตาลปุตตสูตร พวกเราคงไม่รอดกันแหละครับ เพราะกิเลสต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่กับโลก
หรือการปฏินวัฒกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม คนอาจจะมองว่าดีมีประโยชน์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กระตุ้นและเพื่อตอบสนองความต้องการหรือกิเลสของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
ที่กล่าวมานี้ก็อยากชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ตรัสไว้ในตาลปุตสูตรและโลกปัจจุบัน ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ควรจะใช้กิเลสต่ออย่างไรดีครับ?
ไม่เคยสงสัยเลยจนมาเจอตาลปุตสูตร เลยงงครับ พูดผิดส่วนไหนก็ขอโทษด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับคนทีเข้ามาแชร์ความเห็นนะครับ