ประกันสุขภาพ หรือแค่การคัดกรองลูกค้าชั้นดี?

เคยคิดว่า “การทำประกันสุขภาพ” คือการวางแผนล่วงหน้าอย่างมีเหตุผล
เพื่อซื้อ “ความอุ่นใจ” เอาไว้ เผื่อวันที่ชีวิตไม่แน่นอน และอาจต้องพึ่งพาระบบนี้ขึ้นมาจริง ๆ


เราซื้อประกันสุขภาพฉบับนี้มาหลายปีแล้ว เป็นกรมธรรม์ที่มีวงเงินคุ้มครองค่อนข้างสูง และใน 2 ปีแรกเราไม่เคยใช้สิทธิ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว — ไม่มีการเรียกร้องสินไหม ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เกิดขึ้นกับบริษัท


จนกระทั่งปีที่สาม มีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพ — ซึ่งก็ใช้ภายใต้กรอบวงเงินที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องและจำเป็นจริง ๆ


ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การใช้สิทธิ์เคลมของเรารวมกันยังไม่ถึง 1% ของวงเงินคุ้มครอง 100 ล้านบาท/ ต่อปี ด้วยซ้ำ
ทุกกรณีที่เคลมล้วนเกิดจากอาการป่วยจริงที่มีใบรับรองแพทย์ครบถ้วน และทุกครั้งก็เป็นบริษัทเองที่พิจารณาอนุมัติวงเงินตามขั้นตอน
เราจึงอดคิดไม่ได้ว่า หากการใช้สิทธิ์ที่มีหลักฐานครบถ้วนและอยู่ในขอบเขตวงเงินที่ตกลงกันไว้ จะยังถูกมองว่า “เกินความจำเป็น” จนต้องเปลี่ยนเงื่อนไขกับลูกค้า—บริษัทกำลังมุ่งไปที่การลดต้นทุนของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นธรรมต่อผู้ที่ยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขเดิมอย่างเคร่งครัด
ซึ่งก็เท่ากับว่า “ความเชื่อใจ” ที่ผู้บริโภควางไว้ให้บริษัท อาจไม่ได้รับการตอบกลับด้วยมาตรฐานเดียวกัน


แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา คือจดหมายแจ้งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข…


“จะต่ออายุสัญญาได้ก็ต่อเมื่อยอมรับเงื่อนไขใหม่ ซึ่งคือการให้ลูกค้ารับผิดชอบค่ารักษาเอง 20%”
โดยให้เหตุผลว่า “ค่าใช้จ่ายรวมย้อนหลัง 2 ปีสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด”

เมื่อเราสอบถามกลับ บริษัทชี้แจงว่าเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาคือ
✅ Loss Ratio (LR) ต้องไม่เกิน 150% ภายใน 2 ปี
✅ และต้องไม่มีการเคลมเลยในช่วง 12 เดือนล่าสุด
เท่ากับว่าผู้ที่เคยใช้สิทธิ์แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทันที


❓แต่สองปีที่ไม่เคยใช้สิทธิ์เลย ไม่ถูกนับรวมในความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องใช่ไหม?
❓การประกันภัยที่ควรจะเป็นเครื่องมือช่วยเหลือในยามจำเป็น กลับกลายเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไขซ่อนอยู่ว่า “ต้องไม่ใช้จริง ๆ” ใช่ไหม?
❓หากบริษัทเลือกจะต่อสัญญาเฉพาะกับลูกค้าที่ “ไม่เคยใช้สิทธิ์เลย” แล้วหน้าที่ของระบบประกันภัยยังคงอยู่ตรงไหน?


ยิ่งไปกว่านั้น…
💡 เมื่อ 2 ปีก่อน บริษัทเพิ่งปรับเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่ง
เราก็เข้าใจสถานการณ์ และยอมรับโดยดี

บริษัทเป็นผู้ กำหนดทั้งวงเงินความคุ้มครองสูงๆ ด้วยตนเอง เพื่อเสนอขายให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจ ยอมจ่ายเบี้ยประกันในอัตราสูงขึ้นทุกปี
บริษัทเองก็เป็นผู้ ควบคุมราคาค่ารักษา ที่ตกลงกับโรงพยาบาลเครือข่าย
และบริษัทเองก็ยังเป็นผู้กำหนดเกณฑ์ในการใช้ข้อมูล “ย้อนหลัง” เพื่อเลือกกลุ่มที่บริษัทเห็นว่า “ไม่คุ้มค่า” แล้วตัดสิทธิ์ออกจากแผนเดิม

บริษัท ใช้เกณฑ์ฝ่ายเดียวเพื่อ “คัดกรองลูกค้า” ที่ไม่ต้องการต่อสัญญาแบบเดิม โดยไม่เปิดทางเลือกอื่นใดเลย

แต่วันนี้ — ยังไม่ทันครบวัฏจักรใหม่
กลับมีการ ปรับเงื่อนไขอีกครั้ง โดยไม่มีทางเลือก
ลูกค้าไม่ได้มีสิทธิ์จะ “เลือก” แผนประกันของตัวเองได้เลย
มีเพียงแค่ “ยอมรับ” หรือ “ไม่ต่ออายุ”


ขณะที่กำลังจะเข้าสู่รอบต่ออายุในอีกไม่กี่วัน
เรายังไม่ได้ลงนามยินยอมรับเงื่อนไขใหม่
แต่กลับได้รับแจ้งเงื่อนไขที่ “แนบมาแล้วเรียบร้อย” เหมือนการสื่อสารฝ่ายเดียว


ตามหลักกฎหมาย หากลูกค้าไม่ได้ผิดเงื่อนไขเดิม บริษัทไม่มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวแบบไม่มีเหตุอันสมควร
และการเลือกใช้เกณฑ์เฉพาะในการ “คัดกรอง” ลูกค้าที่ไม่ต้องการต่ออายุ อาจเป็นแนวทางที่ขัดกับเจตนารมณ์ของระบบประกันภัยโดยตรง — ที่ควรเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างผู้เอาประกัน ไม่ใช่ผลักภาระไปให้เฉพาะกลุ่มที่บริษัทมองว่า “ไม่คุ้ม”


เราขอใช้พื้นที่นี้บันทึกประสบการณ์
ไม่ได้มีเป้าหมายจะตำหนิ ไม่ได้พาดพิงชื่อใด ๆ
แต่หวังว่าเรื่องนี้จะชวนให้ผู้บริโภคทุกคนลองตั้งคำถามร่วมกันว่า:


📌 หากบริษัทหนึ่งมีแนวทาง “คัดกรองลูกค้า” ตามเงื่อนไขที่กำหนดเองทุกอย่าง
📌 หากเบี้ยสามารถปรับขึ้นทุกปี และเงื่อนไขสามารถเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ
📌 ถ้าคุณเคยเป็น “ลูกค้าที่ดี” แต่วันหนึ่งแค่ต้องใช้สิทธิ์ คุณก็ถูกจัดกลุ่มว่า “ไม่เหมาะสม”


แบบนี้… เรายังสามารถรู้สึกมั่นใจ ปลอดภัย และไว้ใจระบบนี้ได้จริงหรือ?


หากใครเคยมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกัน หรือกำลังจะตัดสินใจเรื่องประกันสุขภาพในช่วงนี้
ลองมาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ —
เพราะบางที “ความเข้าใจร่วมกันของผู้บริโภค” อาจเป็นพลังเดียวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนขึ้นได้ในอนาคตจริง ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่