🏘️🛖🗽เลือกบ้านพักคนชราก็มีความเสี่ยง หญิงสูงวัยจ่ายค่าแรกเข้ากว่า 30 ล้าน แต่สุดท้ายบ้านพักล้มละลาย 💸💸
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้BIZ: เลือกบ้านพักคนชราก็มีความเสี่ยง!
หญิงสูงวัยจ่ายค่าแรกเข้ากว่า 30 ล้าน
หวังใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสบาย
แต่สุดท้ายบ้านพักล้มละลาย เงินหายเกลี้ยง!
.
ในสังคมคนโสดทุกวันนี้ หลายคนเริ่มมองว่าจะเก็บเงินก้อนเอาไว้อยู่บ้านพักคนชราให้มึคนดูแลตอนบั้นปลาย และหลายคนก็ลอง 'เช็กราคา' เรียบร้อยแล้ว
.
อย่างไรก็ดี บั้นปลายของหลายคนก็อาจไม่ราบรื่นขนาดนั้น เพราะสิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ บ้านพักคนชราก็คือองค์กรธุรกิจ ที่อาจ 'เลิกกิจการ' และลอยแพ 'ลูกค้า' ที่เป็นผู้สูงอายุได้ และนี่ไม่ใช้เรื่องทางทฤษฎี มันเกิดขึ้นจริงแล้วในอเมริกา และทำให้คนสูงวัยหลายคนถึงกับเจ็บหนัก
.
ในอเมริกา ระบบบ้านพักคนชราสำหรับคนแก่มากๆ ที่มีบุคลากรทางการแพทย์ประจำ และมียูนิตที่พักอาศัยส่วนตัว โดยทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายแยกสองส่วน ส่วนแรกคือค่าแรกเข้าที่ประมาณเกือบ 1,000,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ก็จะมีค่าบริการรายเดือนตีกลมๆ ประมาณ 150,000-200,000 บาท เป็นต้น
.
ถามว่าทำไมราคามันโหดขนาดนี้ โดยทั่วไปคือถ้าใครคุ้นกับค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐอเมริกาที่น่าจะ 'แพงที่สุดในโลก' ประเทศหนึ่ง ก็คงจะพอเข้าใจว่าทุกอย่างมันก็ราคาประมาณนี้แหละ ค่าดูแลคนแก่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เดือนละ 200,000 บาท ไม่ได้ถือว่าแพงในมาตรฐานอเมริกา และถ้าจะให้เข้าใจมากขึ้น 'ค่าแรกข้า' โดยทั่วไปส่วนใหญ่เขาก็จะให้คืน หรือพูดอีกแบบมันคล้ายกับ 'ค่ามัดจำ' มากกว่า เช่น ถ้าคนแก่ที่ต้องดูแล ต้องการบริการทางการแพทย์เร่งด่วน เขาจะได้เอาเงินส่วนนี้จัดการเลย เช่นถ้าอยู่ดีๆ หมดสติ ต้องผ่าตัดหัวใจหรือสมอง ทางบ้านพักคนชราก็จะจัดการได้ทันที อาจด้วยบุคลากรตรงนั้นด้วยซ้ำ และนี่คือบริการแบบชั้น 1 ของบ้านพักคนชรา
.
โดยทั่วไป ค่าแรกเข้านี้ก็จะคืนให้ทายาท 70-80 เปอร์เซ็นต์ เลย ถ้าคนแก่จากไปอย่างสงบ ไม่ต้องมีการดูแลอะไรที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
.
และกลับกัน คนแก่ที่เข้ามาอยู่ในบ้านพักคนชราเกรดนี้ ก็คือมองละว่าตัวเองจะตายที่นี่ และก็จะทุ่มเงินทั้งชีวิตเพื่อมาอยู่ในวาระสุดท้ายแบบสบายหน่อย โดยหลายคนคือก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ขายบ้านตัวเองทิ้ง ได้เงินก้อนมา แล้วก็เอาเงินก้อนนี้เป็นค่าแรกเข้าบ้านพักคนชรา ส่วนค่าบริการรายเดือนก็ใช้เงินบำนาญประกันสังคมจ่ายไป แค่นี้ก็ครบแพ็กเกจชีวิตบั้นปลายตามสไตล์ทุนนิยมอเมริกัน
.
ทั้งหมดนี้ฟังดูดี แต่สิ่งที่คนจำนวนมากลืมไปก็คือ ธุรกิจบ้านพักคนชรานั้นไม่ใช่กิจกรรมการกุศล มันเป็นกิจกรรมทางธุรกิจเช่นเดียวกับกิจกรรมอื่นๆ ในสังคม และพอเป็นธุรกิจ มันก็มีความเสี่ยง ซึ่งอันที่จริงธุรกิจบ้านพักคนชรานั้นรวมๆ ในอเมริกาก็ถูกมองว่าเป็นธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ชนิดหนึ่ง ที่กิจกรรมหลักๆ ก็คือการสร้างที่อยู่อาศัยและหาคนมาเช่า
.
นี่ทำให้ความเสี่ยงมันเป็นแบบเดียวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลุ่มอื่น คือถ้าสร้างเยอะเกินไปไม่มีคนซื้อหรือคนเช่า บริษัทก็เจ๊ง บริษัทที่ขยายตัวรัวๆ เพราะได้สินเชื่อเยอะในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดเจอโควิดเข้าไปก็กระอัก เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงที่คนแก่จะอยากอยู่บ้านพักคนชราแน่ๆ (หลังจากมีข่าวการระเบิดโควิดในบ้านพักคนชรามากมาย) และปัญหาที่ดับเบิลไปอีกขั้นก็คือ โมเดลธุรกิจพวกนี้เขามองว่าคนแก่ๆ ต้อง 'ขายบ้านมาจ่ายค่าแรกเข้า' สำหรับบ้านพักคนชรา ซึ่งถ้าใครตามข่าวอสังหาริมทรัพย์ ช่วงหลังๆ พวกบ้านหลังใหญ่ๆ ของคนรุ่นก่อนมันขายยากมาก เพราะคนรุ่นใหม่ถ้าไม่มีเงินซื้อบ้านไปเลย ก็มักจะมีครอบครัวขนาดเล็กกว่าสมัยก่อน ทำให้บ้านไซซ์ใหญ่ๆ ที่เป็นที่นิยม กลายมาเป็นไม่พึงประสงค์ไปแล้ว เลยทำให้คนแก่ที่ต้องการขายบ้านมาเป็นทุนค่าแรกเข้าบ้านพักคนชรา ขายบ้านไม่ออก
.
ปัญหาพวกนี้หมักหมมมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 บางบริษัทที่ทำธุรกิจบ้านพักคนชราสายป่านยาวก็รอดมาได้ แต่พวกบริษัทที่สายป่านสั้น พอภาวะเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง หนี้สินที่กู้ยืมมาและปัญหาก็หมักหมมมาจนสุดท้ายตัดสินใจ 'ยื่นล้มละลาย'
.
ทีนี้อยากให้นึกภาพธุรกิจบ้านพักคนชรา เหล่าคนแก่ที่มาอยู่ ที่มาจ่ายค่าแรกเข้าเป็น 10 ล้าน มีสถานะเป็นลูกค้า ซึ่งในกฎหมายล้มละลายคือจะได้เงินทีหลังเจ้าหนี้ ดังนั้นหมายความว่าถ้าบ้านพักคนชราล้มละลาย สิ่งที่ต้องทำคือเอาทรัพย์สินมาขายให้หมดเพื่อใช้หนี้ นี่ทำให้คนแก่ไม่มีที่อยู่ไม่พอ ยังไม่รู้ชะตากรรมของค่าแรกเข้าของตัวเองที่ตอนแรกบ้านพักคนชราสัญญาเสียดิบดีว่าถ้าเลือกจะออกหรือเสียชีวิตไปจะคืนให้อีก
.
เคสทั้งหมดนี้ ณ กลางปี 2025 ทาง The Wall Street Journal ได้รายงานว่ามีเกิดขึ้นจริงๆ แม้ว่าจะมีไม่เยอะแต่มันเกิด ในอเมริกามีบ้านพักคนชราแบบที่เล่ามาเกือบ 2,000 แห่ง และมีที่ยื่นล้มละลายไปนับแต่โควิดระบาดไปเกือบ 20 แห่ง และนั่นหมายถึง มีคนชราในนั้นที่แค่จะไม่มีที่อยู่ไม่พอ แต่ก็ยังเสียเงิน ค่าแรกเข้าไปเกือบหมด
.
แน่นอน แต่ละบ้านพักคนชราที่ล้มละลายไปล้วนมีสถานการณ์ที่ต่าง บางที่เป็นหนี้อาจไม่เยอะมาก ก็จะเหลือค่าแรกเข้าคืนให้ได้เยอะหน่อย แต่หลายๆ ที่สถานการณ์แย่ๆ บางที่จ่ายค่าแรกเข้าไป 32 ล้านบาท ก็อาจได้เงินคืนจริงๆ แค่ 8 ล้านบาท ก็ได้ เพราะหลังจากเอาสินทรัพย์ของบ้านพักคนชราไปขายทอดตลาดเอาเงินคืนเจ้าหนี้หมดแล้ว จำนวนเงินที่เหลือคืนเหล่าคนแก่ที่เป็นลูกค้า คือเหลือแค่นั้น
.
แน่นอน เรื่องเหล่านี้เกิดในสหรัฐอเมริกา มันยังไม่เกิดที่อื่น แต่ที่เข้าใจก็คือในโลกน่าจะมีน้อยประเทศที่ระบบบริหารจัดการคนชราเป็นแบบ 'ทุนนิยม' จ๋าๆ แบบในอเมริกา ก็น่าสนใจว่าประเทศอย่างไทยก็อาจดำเนินไปในแนวทางคล้ายคลึงกันก็ได้ในอนาคต ถ้าเราปล่อยให้การบริหารจัดการดูแลผู้สูงอายุเป็นบริการเอกชน
.
ถึงตอนนี้ก็อาจต้องมีคำเตือนว่า 'การเลือกบ้านพักคนชรามีความเสี่ยง…” ก็ได้ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แบบที่เล่ามา 'เงินเก็บทั้งชีวิต' ของคนแก่ก็อาจหายไปได้ไม่ได้ต่างจากโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเช่นกัน
.
#BIZ #BrandThink #CreativeChange
#Empowering #Diversity #PositiveImpact
https://www.facebook.com/share/p/1PhJWR7mwK/
🏘️🛖🗽เลือกบ้านพักคนชราก็มีความเสี่ยง หญิงสูงวัยจ่ายค่าแรกเข้ากว่า 30 ล้าน แต่สุดท้ายบ้านพักล้มละลาย 💸💸