30 บาทกฎหมายลำดับรอง แต่ ออกแบบอย่างไร้คุณภาพ ทั้งที่มีรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 52.62 และ 82 รองรับ

แนวทางประชานิยมที่ไร้รากฐานบนหลัก “คนไทยเป็นศูนย์กลาง”

หนึ่งในปัญหาสำคัญที่นำไปสู่ความล้มเหลวของการปฏิรูประบบสุขภาพและสวัสดิการในประเทศไทย คือ รัฐบาลหลายยุคสมัยยึดแนวทางประชานิยมเชิงผลประโยชน์ (clientelistic populism) เน้นเพียงการสร้างความนิยมในระยะสั้น โดยแลกกับการใช้จ่ายงบประมาณมหาศาลโดยไม่อิงหลักความยั่งยืนหรือประสิทธิภาพเชิงนโยบาย

แนวทางดังกล่าวมัก ไม่ยึด “คนไทย” หรือ “ประชาชน” เป็นศูนย์กลางในเชิงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากแต่ใช้ประชาชนเป็นเพียง ฐานเสียงทางการเมือง ผลลัพธ์คือ การบิดเบือนกลไกของรัฐ การลดทอนคุณภาพของบริการสาธารณะ และการคงอยู่ของ ระบบอุปถัมภ์ในคราบของรัฐสวัสดิการ (สมชัย ภัทรธนานันท์, 2547)

นักวิชาการหลายท่าน เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้ว่า รัฐประชานิยมในไทยหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ไม่ได้สร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แต่กลับขยายอำนาจรัฐผ่าน “การให้” โดยแลกกับความเงียบจากประชาชน (นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2551)

ในทำนองเดียวกัน Pasuk Phongpaichit และ Chris Baker วิเคราะห์ว่า ประชานิยมในยุค 2544–2549 เป็นเครื่องมือสร้างฐานเสียงชนบท มากกว่าจะเป็นนโยบายที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง หรือ คือ การซื้อเสียงในรูปแบบต่างๆโดยไม่ได้แก้ไขอะไรจริง  (Pasuk & Baker, 2008)

ปรากฏการณ์ดังกล่าวขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งได้มา จากการมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ และหลักธรรมาภิบาล แต่การออกกฎหมายลำดับรองหลายฉบับ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพ กลายเป็น ภาระเชิงระบบ และแม้แต่ผู้ร่างนโยบายเองยังต้องแบกรับจนถึงจุดที่อาจไม่สามารถดำเนินการต่อได้


สมชัย ภัทรธนานันท์. (2547). ประชานิยมกับการเมืองไทย: ความหวังและความท้าทาย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2551). ประชาธิปไตยที่กินได้. กรุงเทพฯ: มติชน

Pasuk Phongpaichit & Chris Baker. (2008). Thaksin. Chiang Mai: Silkworm Books.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่