การเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจชุมชนสู่ประชานิยมเชิงหนี้: บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” กับ “กองทุนหมู่บ้าน”
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาความแตกต่างเชิงแนวคิดและผลกระทบระยะยาวระหว่าง “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งเสริมการพัฒนาโดยชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง กับ “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมที่เน้นการจัดสรรทรัพยากรอย่างเร่งด่วนภายใต้การควบคุมจากรัฐส่วนกลาง โดยใช้กรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองและการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างทั้งในมิติอำนาจ เศรษฐกิจ และสังคม ผลการศึกษาชี้ว่า แม้นโยบายประชานิยมจะช่วยให้เกิดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างรวดเร็ว แต่กลับก่อให้เกิดกับดักหนี้ และลดทอนศักยภาพของชุมชนในการพึ่งพาตนเองในระยะยาว
คำสำคัญ: เศรษฐกิจชุมชน, กองทุนหมู่บ้าน, ประชานิยม, หนี้ครัวเรือน, การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
1. บทนำ
นับตั้งแต่การประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ประเทศไทยได้หันมาเน้นการพัฒนาจาก “คน” และ “ชุมชน” เป็นศูนย์กลาง โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทุนทางสังคมเป็นฐานในการพัฒนา หนึ่งในกลไกสำคัญคือ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ซึ่งสนับสนุนให้ชาวบ้านจัดตั้งกลุ่มและบริหารทุนร่วมกันอย่างมีระบบ เพื่อสร้างเศรษฐกิจพึ่งตนเองจากภายใน
อย่างไรก็ตาม หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี พ.ศ. 2544 แนวนโยบายดังกล่าวถูกแทนที่ด้วย “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งมีลักษณะของนโยบายประชานิยมที่เน้นการกระจายเงินทุนจากส่วนกลางสู่ชุมชนแบบทันที โดยไม่มีการวางระบบการพัฒนาศักยภาพควบคู่ ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ
2. กรอบแนวคิด
บทความนี้วิเคราะห์โดยใช้กรอบแนวคิดหลัก 2 ประการ ได้แก่:
เศรษฐศาสตร์การเมืองของการพัฒนา (Political Economy of Development): เปรียบเทียบแนวคิด participatory development (การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม) กับ economic populism (ประชานิยมเชิงเศรษฐกิจ)
การกระจายอำนาจและการเสริมพลังชุมชน (Local Governance and Community Empowerment): ประเมินอิทธิพลของนโยบายที่มีต่อศักยภาพการตัดสินใจ การจัดการตนเอง และอำนาจในการพัฒนาในระดับชุมชน
3. การเปรียบเทียบนโยบาย: “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” vs “กองทุนหมู่บ้าน”
นโยบาย “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” หลัการย่อยของ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนมีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนาจากฐานรากโดยชุมชนเป็นผู้นำ ด้วยหลักการ “พึ่งตนเอง” และ “มีส่วนร่วม” นโยบายนี้ส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันอย่างสมัครใจ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ วิสาหกิจชุมชน หรือสภาหมู่บ้าน เพื่อบริหารจัดการทุนร่วมกันโดยมีรัฐเป็นเพียงผู้สนับสนุนทรัพยากรและองค์ความรู้ รูปแบบดังกล่าวเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้สร้างระบบเศรษฐกิจภายในที่สอดคล้องกับบริบทของตน และค่อย ๆ เสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายใน
ในทางตรงกันข้าม นโยบาย “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่ง รีเบรนด์โดย รัฐบาลประชานิยม ปี 2544 แม้จะอ้างถึงเป้าหมายคล้ายกันในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แต่กลับเลือกใช้วิธีการที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ รัฐได้จัดสรรเงินงบประมาณจำนวนหนึ่งล้านบาทให้แก่ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่บริหารเงินกู้ยืมภายในชุมชน
ความแตกต่างเชิงโครงสร้างที่สำคัญประการแรก คือ ในขณะที่เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนเน้นการรวมตัวและตัดสินใจของชุมชนโดยสมัครใจ กองทุนหมู่บ้านกลับเป็นนโยบายที่มาจากส่วนกลาง และสร้างกลไกการบริหารที่คล้ายการตั้ง “หน่วยย่อยของรัฐ” ในชุมชนมากกว่าจะเป็นองค์กรของประชาชนโดยแท้
ประการที่สอง เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนถือว่า “ทุน” ไม่ได้มีเพียงแค่เงิน แต่รวมถึงทุนทางสังคม วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ขณะที่กองทุนหมู่บ้านนิยามทุนอย่างแคบ คือ เป็นเพียงเงินกู้ที่รัฐจัดสรรให้ใช้จ่ายภายในชุมชน ซึ่งสะท้อนแนวคิดทางเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคและการหมุนเวียนเงินอย่างรวดเร็ว มากกว่าการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพระยะยาว
ประการที่สาม ในเชิงผลลัพธ์ เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ร่วม การจัดการแบบมีธรรมาภิบาล และสร้างระบบสวัสดิการภายในตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ส่วนกองทุนหมู่บ้าน แม้จะส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างรวดเร็ว แต่กลับมักขาดระบบตรวจสอบ กลไกชุมชนไม่เข้มแข็งเพียงพอที่จะควบคุมการใช้จ่าย ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินและความขัดแย้งภายในในหลายพื้นที่
ในภาพรวม นโยบายเงินทุนเศรษฐกิจชุมชนจึงมีรากฐานอยู่บนการสร้างความยั่งยืนจากภายในชุมชนโดยให้ชุมชนเป็นเจ้าของกระบวนการพัฒนาเอง ในขณะที่กองทุนหมู่บ้านเป็นการเร่งอัดฉีดทุนจากภายนอก โดยที่โครงสร้างอำนาจยังอยู่ในมือรัฐส่วนกลาง ซึ่งอาจตอบโจทย์ทางการเมืองระยะสั้น แต่ไม่ได้วางรากฐานที่มั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว
4. ผลกระทบเชิงระบบ
4.1 การลดทอนอำนาจของชุมชน
การที่รัฐเข้าแทรกแซงด้วยรูปแบบการจัดสรรจากบนลงล่าง ทำให้กลไกการจัดการภายในของชุมชน เช่น กลุ่มออมทรัพย์ หรือสภาชุมชน อ่อนแอลง ชุมชนเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้กำหนดอนาคต” กลายเป็น “ผู้รับนโยบาย”
4.2 การสร้างกับดักหนี้ในระดับครัวเรือน
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า อัตราหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มจาก 52% ของ GDP ในปี 2543 เป็นกว่า 80% ภายในปี 2560 โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งการเข้าถึงเงินทุนไม่ได้ควบคู่กับการเรียนรู้ทางการเงินหรือวินัยการใช้จ่าย ทำให้เกิดปัญหาหนี้ซ้ำซ้อน และภาวะพึ่งพิงรัฐในระยะยาว
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ฟื้นฟูอำนาจชุมชน: โดยส่งเสริมการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์และกลไกเศรษฐกิจที่บริหารโดยคนในท้องถิ่น
เสริมสร้างความรู้ทางการเงิน: ผ่านระบบการศึกษาและอบรมต่อเนื่อง เพื่อให้ชุมชนเข้าใจการบริหารทุนและความเสี่ยง
เปลี่ยนแนวทางจากการแจกเงิน เป็นการลงทุนในศักยภาพคน: เช่น ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน การตลาดชุมชน การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
6. บทสรุป
แม้นโยบายประชานิยมเช่น “กองทุนหมู่บ้าน” จะตอบโจทย์ทางการเมืองในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาในมิติการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลับมีแนวโน้มบั่นทอนความเข้มแข็งของโครงสร้างเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว ตรงข้ามกับแนวคิด “เศรษฐกิจชุมชน” ที่เน้นการมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ และศักยภาพในการพึ่งตนเองของประชาชน หากประเทศไทยต้องการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องกลับมาออกแบบนโยบายที่ให้ “ชุมชน” เป็นศูนย์กลางอีกครั้ง
เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน รีเบรนด์เป็น กองทุนหมู่บ้าน
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาความแตกต่างเชิงแนวคิดและผลกระทบระยะยาวระหว่าง “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งเสริมการพัฒนาโดยชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง กับ “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมที่เน้นการจัดสรรทรัพยากรอย่างเร่งด่วนภายใต้การควบคุมจากรัฐส่วนกลาง โดยใช้กรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองและการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างทั้งในมิติอำนาจ เศรษฐกิจ และสังคม ผลการศึกษาชี้ว่า แม้นโยบายประชานิยมจะช่วยให้เกิดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างรวดเร็ว แต่กลับก่อให้เกิดกับดักหนี้ และลดทอนศักยภาพของชุมชนในการพึ่งพาตนเองในระยะยาว
คำสำคัญ: เศรษฐกิจชุมชน, กองทุนหมู่บ้าน, ประชานิยม, หนี้ครัวเรือน, การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
1. บทนำ
นับตั้งแต่การประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ประเทศไทยได้หันมาเน้นการพัฒนาจาก “คน” และ “ชุมชน” เป็นศูนย์กลาง โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทุนทางสังคมเป็นฐานในการพัฒนา หนึ่งในกลไกสำคัญคือ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ซึ่งสนับสนุนให้ชาวบ้านจัดตั้งกลุ่มและบริหารทุนร่วมกันอย่างมีระบบ เพื่อสร้างเศรษฐกิจพึ่งตนเองจากภายใน
อย่างไรก็ตาม หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี พ.ศ. 2544 แนวนโยบายดังกล่าวถูกแทนที่ด้วย “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งมีลักษณะของนโยบายประชานิยมที่เน้นการกระจายเงินทุนจากส่วนกลางสู่ชุมชนแบบทันที โดยไม่มีการวางระบบการพัฒนาศักยภาพควบคู่ ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ
2. กรอบแนวคิด
บทความนี้วิเคราะห์โดยใช้กรอบแนวคิดหลัก 2 ประการ ได้แก่:
เศรษฐศาสตร์การเมืองของการพัฒนา (Political Economy of Development): เปรียบเทียบแนวคิด participatory development (การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม) กับ economic populism (ประชานิยมเชิงเศรษฐกิจ)
การกระจายอำนาจและการเสริมพลังชุมชน (Local Governance and Community Empowerment): ประเมินอิทธิพลของนโยบายที่มีต่อศักยภาพการตัดสินใจ การจัดการตนเอง และอำนาจในการพัฒนาในระดับชุมชน
3. การเปรียบเทียบนโยบาย: “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” vs “กองทุนหมู่บ้าน”
นโยบาย “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” หลัการย่อยของ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนมีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนาจากฐานรากโดยชุมชนเป็นผู้นำ ด้วยหลักการ “พึ่งตนเอง” และ “มีส่วนร่วม” นโยบายนี้ส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันอย่างสมัครใจ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ วิสาหกิจชุมชน หรือสภาหมู่บ้าน เพื่อบริหารจัดการทุนร่วมกันโดยมีรัฐเป็นเพียงผู้สนับสนุนทรัพยากรและองค์ความรู้ รูปแบบดังกล่าวเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้สร้างระบบเศรษฐกิจภายในที่สอดคล้องกับบริบทของตน และค่อย ๆ เสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายใน
ในทางตรงกันข้าม นโยบาย “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่ง รีเบรนด์โดย รัฐบาลประชานิยม ปี 2544 แม้จะอ้างถึงเป้าหมายคล้ายกันในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แต่กลับเลือกใช้วิธีการที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ รัฐได้จัดสรรเงินงบประมาณจำนวนหนึ่งล้านบาทให้แก่ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่บริหารเงินกู้ยืมภายในชุมชน
ความแตกต่างเชิงโครงสร้างที่สำคัญประการแรก คือ ในขณะที่เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนเน้นการรวมตัวและตัดสินใจของชุมชนโดยสมัครใจ กองทุนหมู่บ้านกลับเป็นนโยบายที่มาจากส่วนกลาง และสร้างกลไกการบริหารที่คล้ายการตั้ง “หน่วยย่อยของรัฐ” ในชุมชนมากกว่าจะเป็นองค์กรของประชาชนโดยแท้
ประการที่สอง เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนถือว่า “ทุน” ไม่ได้มีเพียงแค่เงิน แต่รวมถึงทุนทางสังคม วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ขณะที่กองทุนหมู่บ้านนิยามทุนอย่างแคบ คือ เป็นเพียงเงินกู้ที่รัฐจัดสรรให้ใช้จ่ายภายในชุมชน ซึ่งสะท้อนแนวคิดทางเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคและการหมุนเวียนเงินอย่างรวดเร็ว มากกว่าการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพระยะยาว
ประการที่สาม ในเชิงผลลัพธ์ เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ร่วม การจัดการแบบมีธรรมาภิบาล และสร้างระบบสวัสดิการภายในตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ส่วนกองทุนหมู่บ้าน แม้จะส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างรวดเร็ว แต่กลับมักขาดระบบตรวจสอบ กลไกชุมชนไม่เข้มแข็งเพียงพอที่จะควบคุมการใช้จ่าย ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินและความขัดแย้งภายในในหลายพื้นที่
ในภาพรวม นโยบายเงินทุนเศรษฐกิจชุมชนจึงมีรากฐานอยู่บนการสร้างความยั่งยืนจากภายในชุมชนโดยให้ชุมชนเป็นเจ้าของกระบวนการพัฒนาเอง ในขณะที่กองทุนหมู่บ้านเป็นการเร่งอัดฉีดทุนจากภายนอก โดยที่โครงสร้างอำนาจยังอยู่ในมือรัฐส่วนกลาง ซึ่งอาจตอบโจทย์ทางการเมืองระยะสั้น แต่ไม่ได้วางรากฐานที่มั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว
4. ผลกระทบเชิงระบบ
4.1 การลดทอนอำนาจของชุมชน
การที่รัฐเข้าแทรกแซงด้วยรูปแบบการจัดสรรจากบนลงล่าง ทำให้กลไกการจัดการภายในของชุมชน เช่น กลุ่มออมทรัพย์ หรือสภาชุมชน อ่อนแอลง ชุมชนเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้กำหนดอนาคต” กลายเป็น “ผู้รับนโยบาย”
4.2 การสร้างกับดักหนี้ในระดับครัวเรือน
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า อัตราหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มจาก 52% ของ GDP ในปี 2543 เป็นกว่า 80% ภายในปี 2560 โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งการเข้าถึงเงินทุนไม่ได้ควบคู่กับการเรียนรู้ทางการเงินหรือวินัยการใช้จ่าย ทำให้เกิดปัญหาหนี้ซ้ำซ้อน และภาวะพึ่งพิงรัฐในระยะยาว
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ฟื้นฟูอำนาจชุมชน: โดยส่งเสริมการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์และกลไกเศรษฐกิจที่บริหารโดยคนในท้องถิ่น
เสริมสร้างความรู้ทางการเงิน: ผ่านระบบการศึกษาและอบรมต่อเนื่อง เพื่อให้ชุมชนเข้าใจการบริหารทุนและความเสี่ยง
เปลี่ยนแนวทางจากการแจกเงิน เป็นการลงทุนในศักยภาพคน: เช่น ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน การตลาดชุมชน การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
6. บทสรุป
แม้นโยบายประชานิยมเช่น “กองทุนหมู่บ้าน” จะตอบโจทย์ทางการเมืองในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาในมิติการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลับมีแนวโน้มบั่นทอนความเข้มแข็งของโครงสร้างเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว ตรงข้ามกับแนวคิด “เศรษฐกิจชุมชน” ที่เน้นการมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ และศักยภาพในการพึ่งตนเองของประชาชน หากประเทศไทยต้องการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องกลับมาออกแบบนโยบายที่ให้ “ชุมชน” เป็นศูนย์กลางอีกครั้ง