1) สินค้าเศรษฐกิจชุมชน กับ การรีแบรนด์เป็น OTOP
จากเศรษฐกิจฐานรากแบบพึ่งตนเอง สู่ตลาดขับเคลื่อนโดยรัฐ
แนวคิด “สินค้าเศรษฐกิจชุมชน” ภายใต้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน
ชองแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ด้วยปรัชญาเศรษฐศาสตร์ สุขวิชโนมิกส์
เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจจากฐานรากที่เน้น การพึ่งตนเองของชุมชน เป็นหลัก โดยการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และแรงงานชุมชนมาผลิตสินค้าเพื่อการดำรงชีวิต และเพื่อสร้างรายได้ให้เกิดภายในชุมชนเอง
สินค้าเศรษฐกิจชุมชนตามแนวคิดนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ
•การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในชุมชน
•การกระจายอำนาจในการผลิตและจำหน่าย
•การส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น
•การเรียนรู้ทางเศรษฐกิจร่วมกันของคนในพื้นที่
ภาครัฐในขณะนั้นไม่ได้เป็นผู้กำหนดผลิตภัณฑ์ หรือกำหนดมาตรฐานแบบเดียวกันทั้งประเทศ แต่ทำหน้าที่สนับสนุนทรัพยากร ความรู้ และการเชื่อมโยงเครือข่ายให้ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้
ต่อมา หลังปี พ.ศ. 2544 แนวคิดเรื่อง “สินค้าเศรษฐกิจชุมชน” ได้ถูกรีแบรนด์ภายใต้นโยบายที่ชื่อว่า “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือ “OTOP” ซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาลประชานิยม โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการ ผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดระดับประเทศและสากล เป็นหลัก
แม้จะมีพื้นฐานจากสินค้าชุมชน แต่ OTOP ได้เปลี่ยนวิธีคิดและกระบวนการผลิตหลายด้าน เช่น
•การกำหนดกรอบผลิตภัณฑ์ที่เน้นความสามารถในการแข่งขัน
•การจัดอันดับคุณภาพ (ดาว)
•การเน้นส่งออกและการจัดแสดงสินค้าในลักษณะงานอีเวนต์
•การใช้ตราสินค้าและระบบกลางในการควบคุม
กระบวนการเหล่านี้ทำให้สินค้าเศรษฐกิจชุมชนจำนวนมากต้อง ปรับตัวเข้าหาตลาดเมืองและตลาดโลก มากกว่าตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนท้องถิ่นตนเอง ต่างจากหลักการเดิมของสุขวิชโนมิกส์ที่เน้นการผลิตเพื่อสร้างความมั่นคงภายใน
นอกจากนี้ ระบบ OTOP ยังส่งผลให้ชุมชนหลายแห่งเปลี่ยนจาก “การผลิตแบบรวมกลุ่มเพื่อบริโภคและจำหน่ายภายใน” ไปสู่ “การผลิตรายบุคคลเพื่อแข่งขันในตลาด” ทำให้ความร่วมมือแบบดั้งเดิมในชุมชนเริ่มอ่อนตัวลง และเกิดการพึ่งพาโครงสร้างรัฐมากขึ้น เช่น การรอการสนับสนุน การจัดประกวด หรือการแสดงสินค้าแทนที่จะพึ่งพาเครือข่ายภายใน
ข้อสังเกตสำคัญ
•OTOP เปลี่ยนทิศทางนโยบายจาก “เศรษฐกิจพึ่งตนเอง” ไปสู่ “เศรษฐกิจขับเคลื่อนโดยการตลาด”
•ในขณะที่สินค้าเศรษฐกิจชุมชนเน้น กระบวนการเรียนรู้ร่วมในชุมชน และสร้าง “เศรษฐกิจสัมพันธ์”, OTOP กลับเน้น “ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป” และ “การแข่งขัน” เป็นหลัก
•สิ่งที่หายไปในกระบวนการรีแบรนด์คือ พลังในการจัดการตนเองของชุมชน, หัวใจของสุขวิชโนมิกส์
บทสรุป
แม้ OTOP จะช่วยเปิดตลาดให้กับบางผลิตภัณฑ์ของชุมชนได้ในระยะสั้น แต่การรีแบรนด์จาก “สินค้าเศรษฐกิจชุมชน” สู่ OTOP ได้ลดทอนความสำคัญของแนวคิดพึ่งตนเองและการมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับลึก หากประเทศไทยต้องการกลับสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนจริง จำเป็นต้องฟื้นแนวคิดดั้งเดิมของสุขวิชโนมิกส์ ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการมากกว่าผลผลิต และชุมชนมากกว่าตลาด
2) เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน กับการรีแบรนด์เป็นกองทุนหมู่บ้าน
การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งตนเองสู่ประชานิยมเชิงหนี้
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ปรัชญาเศรษฐศ่าสตร์ สุขวิชโนมิกส์
ได้มีการวางรากฐานแนวคิด “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” โดยยึดหลัก “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” และส่งเสริมให้ชุมชนจัดตั้งกองทุนของตนเอง โดยใช้กลไกการออม การบริหารจัดการหนี้ และการตัดสินใจร่วมกันผ่านกลุ่มออมทรัพย์ วิสาหกิจชุมชน และสภาหมู่บ้าน
เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนไม่ได้เป็นเพียงนโยบายด้านการเงิน แต่เป็นกลไกทางสังคมที่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถควบคุมทรัพยากร กำหนดเงื่อนไขการกู้ยืม และจัดการตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐอย่างเบ็ดเสร็จ จุดแข็งของระบบนี้อยู่ที่ วินัยทางการเงิน, การกำกับดูแลกันเอง, และ ความเชื่อถือในกลไกภายในชุมชน
แต่หลังปี พ.ศ. 2544 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ได้เกิดการ รีแบรนด์ เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนให้กลายเป็น “กองทุนหมู่บ้าน” โดยมีลักษณะเป็นนโยบายประชานิยมที่รัฐจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งไปยังแต่ละหมู่บ้าน เพื่อปล่อยกู้ให้ประชาชนในรูปแบบกองทุนที่รัฐออกแบบกลาง
แม้ว่ากองทุนหมู่บ้านจะถูกอ้างว่าเป็นการ “ต่อยอด” จากเดิม แต่ในความเป็นจริงกลับ ลดทอนหลักการพึ่งตนเองของชุมชน หลายประการ เช่น
•การเปลี่ยนบทบาทจาก “ชุมชนควบคุมทุน” ไปเป็น “รัฐแจกเงินแล้วให้ชุมชนบริหาร”
•การลดความสำคัญของกลไกออมทรัพย์และวินัยทางการเงิน
•การเน้นปล่อยกู้มากกว่าสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน
•การกลายสภาพเป็นเครื่องมือทางการเมืองในบางบริบท
ผลกระทบที่ตามมาในระยะยาว คือ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไม่มีระบบกำกับติดตามที่เข้มแข็งเท่าระบบเดิม ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2544 หนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นประเทศที่มีภาระหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในอาเซียน
ข้อสรุป
การรีแบรนด์ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ให้เป็น “กองทุนหมู่บ้าน” เป็นมากกว่าการเปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการเปลี่ยน วิธีคิดเชิงระบบ จากการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมและพึ่งพาตนเอง ไปสู่แนวทางประชานิยมที่เน้นการกระจายงบประมาณอย่างรวดเร็วแต่ขาดความยั่งยืน ความเข้มแข็งที่เคยเกิดขึ้นจากภายในชุมชนถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างที่พึ่งพารัฐและเสี่ยงต่อการก่อหนี้ซ้ำซ้อน
หากประเทศไทยต้องการกลับไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง จำเป็นต้องรื้อฟื้นแนวคิดดั้งเดิมของ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ที่เคารพศักยภาพของชุมชน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
3) การรีเบรนด์ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” เป็น “ธนาคารประชาชน”
การเปลี่ยนผ่านจากกลไกชุมชนสู่โครงสร้างหนี้ภายใต้รัฐ
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ประเทศไทยได้วางยุทธศาสตร์สำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจากฐานราก ด้วยปรัชญาเศรษฐศาสตร์
“สุขวิชโนมิกส์” ที่เน้น การพึ่งตนเองของชุมชน โดยมีเครื่องมือสำคัญคือ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” ซึ่งเป็นกลไกการเงินที่ชุมชนจัดการกันเอง โดยผ่านกลุ่มออมทรัพย์ วิสาหกิจชุมชน หรือกองทุนหมุนเวียนท้องถิ่น
กลไกนี้มีจุดเด่นคือการฝึกวินัยทางการเงิน ความโปร่งใสในการกู้ยืม และการกำกับดูแลกันเองภายในชุมชน ส่งเสริมให้ประชาชนมองเงินกู้เป็น “ทุนพัฒนา” ไม่ใช่ “เงินบริโภค” โดยรัฐทำหน้าที่เอื้ออำนวยและสนับสนุนความรู้ มากกว่าจะเป็นผู้ควบคุม
แต่หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี พ.ศ. 2544 ได้มีการ รีเบรนด์ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” ให้กลายเป็น “ธนาคารประชาชน” ภายใต้นโยบายประชานิยม โดยใช้ธนาคารออมสินเป็นกลไกหลักในการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยลดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากู้
การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
แม้ว่าธนาคารประชาชนจะมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลไกเดิมของ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในเชิงหลักการหลายประการ:
•จากทุนชุมชนเป็นสินเชื่อจากรัฐ: เดิมชุมชนเป็นเจ้าของกองทุนและมีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่ธนาคารประชาชนเป็นระบบรวมศูนย์ผ่านรัฐ ซึ่งลดบทบาทของชุมชนในการควบคุมทุน
•จากการเรียนรู้สู่การบริโภค: เดิมเงินกู้ถูกออกแบบเพื่อสร้างอาชีพ สร้างความรู้ และวินัยทางการเงิน แต่หลังรีเบรนด์ กลายเป็นการเร่งปล่อยกู้โดยไม่มีการส่งเสริมการออมหรือการจัดการหนี้อย่างยั่งยืน
•จากการพึ่งตนเองสู่การพึ่งรัฐ: ระบบเดิมสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้ชุมชน แต่ธนาคารประชาชนทำให้ประชาชนจำนวนมากตกอยู่ในกับดักหนี้ โดยขาดเครื่องมือการกำกับตนเอง
ผลกระทบที่ตามมา
•หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง: ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า หลังปี 2544 อัตราหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในอาเซียน
•ชุมชนอ่อนแอทางสถาบัน: การเปลี่ยนบทบาทจากผู้จัดการทุนเป็นเพียง “ผู้รับเงินกู้” ทำให้กลไกการรวมกลุ่ม ออมเงิน และวางแผนการเงินในระดับชุมชนถูกลดความสำคัญลง
•การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์: เนื่องจากขาดการกำกับแบบชุมชน ผู้กู้จำนวนมากนำเงินไปใช้ในกิจกรรมบริโภคระยะสั้น ไม่ใช่การลงทุนที่ยั่งยืน
บทสรุป
การรีเบรนด์ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” เป็น “ธนาคารประชาชน” ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อ แต่คือการเปลี่ยน “รากฐานแนวคิดการพัฒนา” จากความพยายามสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยกลไกของตนเอง สู่การพึ่งพาระบบรัฐผ่านสินเชื่อที่ไม่มีกระบวนการเรียนรู้ร่วม เมื่อขาดกลไกทางสังคมในการกำกับดูแล การก่อหนี้จึงเกิดขึ้นโดยไม่มีภูมิคุ้มกัน นำไปสู่ภาวะหนี้เรื้อรังที่ยากต่อการฟื้นตัวในระยะยาว
OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, และธนาคารประชาชน ตอกย้ำความผิดพลาด ของ รัฐบาลประชานิยม ภายใต้ระบบภาษีทรัมป์
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะจากเศรษฐกิจฐานรากแบบพึ่งตนเอง สู่ตลาดขับเคลื่อนโดยรัฐ
แนวคิด “สินค้าเศรษฐกิจชุมชน” ภายใต้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน ชองแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ด้วยปรัชญาเศรษฐศาสตร์ สุขวิชโนมิกส์ เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจจากฐานรากที่เน้น การพึ่งตนเองของชุมชน เป็นหลัก โดยการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และแรงงานชุมชนมาผลิตสินค้าเพื่อการดำรงชีวิต และเพื่อสร้างรายได้ให้เกิดภายในชุมชนเอง
สินค้าเศรษฐกิจชุมชนตามแนวคิดนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ
•การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในชุมชน
•การกระจายอำนาจในการผลิตและจำหน่าย
•การส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น
•การเรียนรู้ทางเศรษฐกิจร่วมกันของคนในพื้นที่
ภาครัฐในขณะนั้นไม่ได้เป็นผู้กำหนดผลิตภัณฑ์ หรือกำหนดมาตรฐานแบบเดียวกันทั้งประเทศ แต่ทำหน้าที่สนับสนุนทรัพยากร ความรู้ และการเชื่อมโยงเครือข่ายให้ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้
ต่อมา หลังปี พ.ศ. 2544 แนวคิดเรื่อง “สินค้าเศรษฐกิจชุมชน” ได้ถูกรีแบรนด์ภายใต้นโยบายที่ชื่อว่า “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือ “OTOP” ซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาลประชานิยม โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการ ผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดระดับประเทศและสากล เป็นหลัก
แม้จะมีพื้นฐานจากสินค้าชุมชน แต่ OTOP ได้เปลี่ยนวิธีคิดและกระบวนการผลิตหลายด้าน เช่น
•การกำหนดกรอบผลิตภัณฑ์ที่เน้นความสามารถในการแข่งขัน
•การจัดอันดับคุณภาพ (ดาว)
•การเน้นส่งออกและการจัดแสดงสินค้าในลักษณะงานอีเวนต์
•การใช้ตราสินค้าและระบบกลางในการควบคุม
กระบวนการเหล่านี้ทำให้สินค้าเศรษฐกิจชุมชนจำนวนมากต้อง ปรับตัวเข้าหาตลาดเมืองและตลาดโลก มากกว่าตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนท้องถิ่นตนเอง ต่างจากหลักการเดิมของสุขวิชโนมิกส์ที่เน้นการผลิตเพื่อสร้างความมั่นคงภายใน
นอกจากนี้ ระบบ OTOP ยังส่งผลให้ชุมชนหลายแห่งเปลี่ยนจาก “การผลิตแบบรวมกลุ่มเพื่อบริโภคและจำหน่ายภายใน” ไปสู่ “การผลิตรายบุคคลเพื่อแข่งขันในตลาด” ทำให้ความร่วมมือแบบดั้งเดิมในชุมชนเริ่มอ่อนตัวลง และเกิดการพึ่งพาโครงสร้างรัฐมากขึ้น เช่น การรอการสนับสนุน การจัดประกวด หรือการแสดงสินค้าแทนที่จะพึ่งพาเครือข่ายภายใน
ข้อสังเกตสำคัญ
•OTOP เปลี่ยนทิศทางนโยบายจาก “เศรษฐกิจพึ่งตนเอง” ไปสู่ “เศรษฐกิจขับเคลื่อนโดยการตลาด”
•ในขณะที่สินค้าเศรษฐกิจชุมชนเน้น กระบวนการเรียนรู้ร่วมในชุมชน และสร้าง “เศรษฐกิจสัมพันธ์”, OTOP กลับเน้น “ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป” และ “การแข่งขัน” เป็นหลัก
•สิ่งที่หายไปในกระบวนการรีแบรนด์คือ พลังในการจัดการตนเองของชุมชน, หัวใจของสุขวิชโนมิกส์
บทสรุป
แม้ OTOP จะช่วยเปิดตลาดให้กับบางผลิตภัณฑ์ของชุมชนได้ในระยะสั้น แต่การรีแบรนด์จาก “สินค้าเศรษฐกิจชุมชน” สู่ OTOP ได้ลดทอนความสำคัญของแนวคิดพึ่งตนเองและการมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับลึก หากประเทศไทยต้องการกลับสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนจริง จำเป็นต้องฟื้นแนวคิดดั้งเดิมของสุขวิชโนมิกส์ ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการมากกว่าผลผลิต และชุมชนมากกว่าตลาด
2) เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน กับการรีแบรนด์เป็นกองทุนหมู่บ้าน
การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งตนเองสู่ประชานิยมเชิงหนี้
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ปรัชญาเศรษฐศ่าสตร์ สุขวิชโนมิกส์ ได้มีการวางรากฐานแนวคิด “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” โดยยึดหลัก “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” และส่งเสริมให้ชุมชนจัดตั้งกองทุนของตนเอง โดยใช้กลไกการออม การบริหารจัดการหนี้ และการตัดสินใจร่วมกันผ่านกลุ่มออมทรัพย์ วิสาหกิจชุมชน และสภาหมู่บ้าน
เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนไม่ได้เป็นเพียงนโยบายด้านการเงิน แต่เป็นกลไกทางสังคมที่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถควบคุมทรัพยากร กำหนดเงื่อนไขการกู้ยืม และจัดการตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐอย่างเบ็ดเสร็จ จุดแข็งของระบบนี้อยู่ที่ วินัยทางการเงิน, การกำกับดูแลกันเอง, และ ความเชื่อถือในกลไกภายในชุมชน
แต่หลังปี พ.ศ. 2544 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ได้เกิดการ รีแบรนด์ เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนให้กลายเป็น “กองทุนหมู่บ้าน” โดยมีลักษณะเป็นนโยบายประชานิยมที่รัฐจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งไปยังแต่ละหมู่บ้าน เพื่อปล่อยกู้ให้ประชาชนในรูปแบบกองทุนที่รัฐออกแบบกลาง
แม้ว่ากองทุนหมู่บ้านจะถูกอ้างว่าเป็นการ “ต่อยอด” จากเดิม แต่ในความเป็นจริงกลับ ลดทอนหลักการพึ่งตนเองของชุมชน หลายประการ เช่น
•การเปลี่ยนบทบาทจาก “ชุมชนควบคุมทุน” ไปเป็น “รัฐแจกเงินแล้วให้ชุมชนบริหาร”
•การลดความสำคัญของกลไกออมทรัพย์และวินัยทางการเงิน
•การเน้นปล่อยกู้มากกว่าสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน
•การกลายสภาพเป็นเครื่องมือทางการเมืองในบางบริบท
ผลกระทบที่ตามมาในระยะยาว คือ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไม่มีระบบกำกับติดตามที่เข้มแข็งเท่าระบบเดิม ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2544 หนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นประเทศที่มีภาระหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในอาเซียน
ข้อสรุป
การรีแบรนด์ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ให้เป็น “กองทุนหมู่บ้าน” เป็นมากกว่าการเปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการเปลี่ยน วิธีคิดเชิงระบบ จากการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมและพึ่งพาตนเอง ไปสู่แนวทางประชานิยมที่เน้นการกระจายงบประมาณอย่างรวดเร็วแต่ขาดความยั่งยืน ความเข้มแข็งที่เคยเกิดขึ้นจากภายในชุมชนถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างที่พึ่งพารัฐและเสี่ยงต่อการก่อหนี้ซ้ำซ้อน
หากประเทศไทยต้องการกลับไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง จำเป็นต้องรื้อฟื้นแนวคิดดั้งเดิมของ “เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน” ที่เคารพศักยภาพของชุมชน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
3) การรีเบรนด์ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” เป็น “ธนาคารประชาชน”
การเปลี่ยนผ่านจากกลไกชุมชนสู่โครงสร้างหนี้ภายใต้รัฐ
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ประเทศไทยได้วางยุทธศาสตร์สำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจากฐานราก ด้วยปรัชญาเศรษฐศาสตร์ “สุขวิชโนมิกส์” ที่เน้น การพึ่งตนเองของชุมชน โดยมีเครื่องมือสำคัญคือ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” ซึ่งเป็นกลไกการเงินที่ชุมชนจัดการกันเอง โดยผ่านกลุ่มออมทรัพย์ วิสาหกิจชุมชน หรือกองทุนหมุนเวียนท้องถิ่น
กลไกนี้มีจุดเด่นคือการฝึกวินัยทางการเงิน ความโปร่งใสในการกู้ยืม และการกำกับดูแลกันเองภายในชุมชน ส่งเสริมให้ประชาชนมองเงินกู้เป็น “ทุนพัฒนา” ไม่ใช่ “เงินบริโภค” โดยรัฐทำหน้าที่เอื้ออำนวยและสนับสนุนความรู้ มากกว่าจะเป็นผู้ควบคุม
แต่หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี พ.ศ. 2544 ได้มีการ รีเบรนด์ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” ให้กลายเป็น “ธนาคารประชาชน” ภายใต้นโยบายประชานิยม โดยใช้ธนาคารออมสินเป็นกลไกหลักในการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยลดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากู้
การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
แม้ว่าธนาคารประชาชนจะมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลไกเดิมของ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในเชิงหลักการหลายประการ:
•จากทุนชุมชนเป็นสินเชื่อจากรัฐ: เดิมชุมชนเป็นเจ้าของกองทุนและมีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่ธนาคารประชาชนเป็นระบบรวมศูนย์ผ่านรัฐ ซึ่งลดบทบาทของชุมชนในการควบคุมทุน
•จากการเรียนรู้สู่การบริโภค: เดิมเงินกู้ถูกออกแบบเพื่อสร้างอาชีพ สร้างความรู้ และวินัยทางการเงิน แต่หลังรีเบรนด์ กลายเป็นการเร่งปล่อยกู้โดยไม่มีการส่งเสริมการออมหรือการจัดการหนี้อย่างยั่งยืน
•จากการพึ่งตนเองสู่การพึ่งรัฐ: ระบบเดิมสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้ชุมชน แต่ธนาคารประชาชนทำให้ประชาชนจำนวนมากตกอยู่ในกับดักหนี้ โดยขาดเครื่องมือการกำกับตนเอง
ผลกระทบที่ตามมา
•หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง: ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า หลังปี 2544 อัตราหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในอาเซียน
•ชุมชนอ่อนแอทางสถาบัน: การเปลี่ยนบทบาทจากผู้จัดการทุนเป็นเพียง “ผู้รับเงินกู้” ทำให้กลไกการรวมกลุ่ม ออมเงิน และวางแผนการเงินในระดับชุมชนถูกลดความสำคัญลง
•การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์: เนื่องจากขาดการกำกับแบบชุมชน ผู้กู้จำนวนมากนำเงินไปใช้ในกิจกรรมบริโภคระยะสั้น ไม่ใช่การลงทุนที่ยั่งยืน
บทสรุป
การรีเบรนด์ “เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน” เป็น “ธนาคารประชาชน” ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อ แต่คือการเปลี่ยน “รากฐานแนวคิดการพัฒนา” จากความพยายามสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยกลไกของตนเอง สู่การพึ่งพาระบบรัฐผ่านสินเชื่อที่ไม่มีกระบวนการเรียนรู้ร่วม เมื่อขาดกลไกทางสังคมในการกำกับดูแล การก่อหนี้จึงเกิดขึ้นโดยไม่มีภูมิคุ้มกัน นำไปสู่ภาวะหนี้เรื้อรังที่ยากต่อการฟื้นตัวในระยะยาว