ในช่วงหลังปี 2544 ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคของนโยบายประชานิยมเต็มรูปแบบ หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญคือ การรีเบรนด์ แนวคิด “เศรษฐกิจชุมชน” ที่เคยเน้น ชุมชนเป็นเจ้าของการพัฒนา ไปสู่โครงการอย่าง OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, และ ธนาคารประชาชน ซึ่งรัฐเข้าไปบริหารจัดการหรืออุดหนุนโดยตรง
แม้ในระยะสั้นจะดูเหมือนเป็นนโยบายที่ช่วย “กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก” แต่ในระยะยาวกลับกลายเป็นกระบวนการที่ บ่อนทำลายทุนมนุษย์ ทุนสังคม และความสามารถในการพึ่งตนเองของประชาชน อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง
🧨 ส่วนที่ 1: จาก “เจ้าของ” สู่ “ผู้รอรับนโยบาย”
แนวคิด “เศรษฐกิจชุมชน” ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540) มุ่งเน้นให้ชุมชนริเริ่ม ออกแบบ และบริหารกิจกรรมเศรษฐกิจด้วยตนเอง โดยมีภาคี (รัฐ เอกชน ท้องถิ่น) ทำหน้าที่ สนับสนุนแบบไม่แทรกแซง
แต่การรีเบรนด์โดยรัฐ เปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นนโยบายที่ “รัฐออกแบบให้แล้ว ชุมชนแค่ทำตาม” เช่น
OTOP = รัฐกำหนดให้ผลิต “สินค้าชุมชน” ตามมาตรฐาน → แปลงความคิดสร้างสรรค์เป็น “สินค้าโชว์”
กองทุนหมู่บ้าน = ปล่อยกู้โดยไม่คัดกรองโครงสร้างหนี้หรือสมรรถภาพการจัดการเงินของชุมชน
ธนาคารประชาชน = เข้าถึงเงินง่าย แต่ไร้ระบบพัฒนาความรู้ในการใช้หนี้หรือลงทุนอย่างยั่งยืน
ผลลัพธ์: ชุมชนไม่ใช่เจ้าของแนวคิด ไม่ใช่เจ้าของกระบวนการ → จึงไม่สามารถพัฒนาความรู้ ความเชื่อมั่น หรือวินัยในตนเองได้อย่างแท้จริง
🔄 ส่วนที่ 2: หลอกให้รู้สึกว่า “พัฒนา” ในขณะที่อ่อนแอลง
การรีเบรนด์เหล่านี้อาศัย ภาษาแห่งความหวัง เช่น “เข้าถึงแหล่งทุน”, “สร้างอาชีพ”, “ยกระดับสินค้า”
⚠️ ส่วนที่ 3: ผลกระทบระยะยาวที่ “ทำลายจากภายใน”
ทุนมนุษย์เสื่อมถอย
ขาดโอกาสในการฝึกคิด ฝึกตัดสินใจ ฝึกจัดการเงินหรือกิจกรรม
ไม่เกิด “เจ้าของกิจการชุมชน” ที่แท้จริง
ทุนสังคมพังทลาย
กลไกช่วยเหลือกันเองในชุมชนถูกแทนที่ด้วยรัฐ
ความไว้ใจ, จริยธรรม, การควบคุมกันเอง ลดลงอย่างชัดเจน
สร้างวัฒนธรรมพึ่งพิง
แทนที่จะพัฒนาให้เข้มแข็ง กลับสร้างภาพจำว่า “ถ้าจะอยู่ได้ ต้องให้รัฐช่วยก่อน”
🧭 ข้อเสนอเพื่อการกู้คืน “พลังของชุมชน”
ยุติการออกแบบจากส่วนกลาง
คืนอำนาจให้ชุมชนคิด ออกแบบ บริหาร และประเมินตนเอง
สนับสนุนแบบ “เบื้องหลัง” ไม่ใช่ “ควบคุม”
เปลี่ยนบทบาทรัฐจาก “เจ้าของโครงการ” เป็น “ภาคีสนับสนุนเท่านั้น”
ลงทุนในความรู้และการเรียนรู้ระยะยาว
เช่น ทุนหมุนเวียนโดยชุมชนบริหารเอง การฝึกอบรมผู้ประกอบการท้องถิ่นจริงจัง
ยกเลิกเกณฑ์ประเมินเชิงปริมาณเทียม (ยอดขาย, งานประกวด ฯลฯ)
วัดผลโดยดู “ความเข้มแข็งของระบบในชุมชน” ไม่ใช่ยอดขายหรือตัวเลข GDP
✍ สรุปส่งท้าย
“การพัฒนาแบบที่ทำให้คนรู้สึกว่ากำลังพัฒนา ทั้งที่กำลังไร้อำนาจ นั่นไม่ใช่ความเจริญ แต่มันคือความเสื่อมซ่อนรูป”
OTOP กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชนไม่ใช่ความผิดพลาดทางเทคนิค — แต่มันคือความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของแนวคิดประชานิยมที่บ่อนทำลายรากของประเทศทีละน้อย
ถึงเวลา “เปลี่ยนแนวคิด” จากการอุดหนุน ไปสู่การเสริมพลัง
ChatGPT: OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, และ ธนาคารประชาชน
แม้ในระยะสั้นจะดูเหมือนเป็นนโยบายที่ช่วย “กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก” แต่ในระยะยาวกลับกลายเป็นกระบวนการที่ บ่อนทำลายทุนมนุษย์ ทุนสังคม และความสามารถในการพึ่งตนเองของประชาชน อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง
🧨 ส่วนที่ 1: จาก “เจ้าของ” สู่ “ผู้รอรับนโยบาย”
แนวคิด “เศรษฐกิจชุมชน” ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540) มุ่งเน้นให้ชุมชนริเริ่ม ออกแบบ และบริหารกิจกรรมเศรษฐกิจด้วยตนเอง โดยมีภาคี (รัฐ เอกชน ท้องถิ่น) ทำหน้าที่ สนับสนุนแบบไม่แทรกแซง
แต่การรีเบรนด์โดยรัฐ เปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นนโยบายที่ “รัฐออกแบบให้แล้ว ชุมชนแค่ทำตาม” เช่น
OTOP = รัฐกำหนดให้ผลิต “สินค้าชุมชน” ตามมาตรฐาน → แปลงความคิดสร้างสรรค์เป็น “สินค้าโชว์”
กองทุนหมู่บ้าน = ปล่อยกู้โดยไม่คัดกรองโครงสร้างหนี้หรือสมรรถภาพการจัดการเงินของชุมชน
ธนาคารประชาชน = เข้าถึงเงินง่าย แต่ไร้ระบบพัฒนาความรู้ในการใช้หนี้หรือลงทุนอย่างยั่งยืน
ผลลัพธ์: ชุมชนไม่ใช่เจ้าของแนวคิด ไม่ใช่เจ้าของกระบวนการ → จึงไม่สามารถพัฒนาความรู้ ความเชื่อมั่น หรือวินัยในตนเองได้อย่างแท้จริง
🔄 ส่วนที่ 2: หลอกให้รู้สึกว่า “พัฒนา” ในขณะที่อ่อนแอลง
การรีเบรนด์เหล่านี้อาศัย ภาษาแห่งความหวัง เช่น “เข้าถึงแหล่งทุน”, “สร้างอาชีพ”, “ยกระดับสินค้า”
ทุนมนุษย์เสื่อมถอย
ขาดโอกาสในการฝึกคิด ฝึกตัดสินใจ ฝึกจัดการเงินหรือกิจกรรม
ไม่เกิด “เจ้าของกิจการชุมชน” ที่แท้จริง
ทุนสังคมพังทลาย
กลไกช่วยเหลือกันเองในชุมชนถูกแทนที่ด้วยรัฐ
ความไว้ใจ, จริยธรรม, การควบคุมกันเอง ลดลงอย่างชัดเจน
สร้างวัฒนธรรมพึ่งพิง
แทนที่จะพัฒนาให้เข้มแข็ง กลับสร้างภาพจำว่า “ถ้าจะอยู่ได้ ต้องให้รัฐช่วยก่อน”
🧭 ข้อเสนอเพื่อการกู้คืน “พลังของชุมชน”
ยุติการออกแบบจากส่วนกลาง
คืนอำนาจให้ชุมชนคิด ออกแบบ บริหาร และประเมินตนเอง
สนับสนุนแบบ “เบื้องหลัง” ไม่ใช่ “ควบคุม”
เปลี่ยนบทบาทรัฐจาก “เจ้าของโครงการ” เป็น “ภาคีสนับสนุนเท่านั้น”
ลงทุนในความรู้และการเรียนรู้ระยะยาว
เช่น ทุนหมุนเวียนโดยชุมชนบริหารเอง การฝึกอบรมผู้ประกอบการท้องถิ่นจริงจัง
ยกเลิกเกณฑ์ประเมินเชิงปริมาณเทียม (ยอดขาย, งานประกวด ฯลฯ)
วัดผลโดยดู “ความเข้มแข็งของระบบในชุมชน” ไม่ใช่ยอดขายหรือตัวเลข GDP
✍ สรุปส่งท้าย
“การพัฒนาแบบที่ทำให้คนรู้สึกว่ากำลังพัฒนา ทั้งที่กำลังไร้อำนาจ นั่นไม่ใช่ความเจริญ แต่มันคือความเสื่อมซ่อนรูป”
OTOP กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชนไม่ใช่ความผิดพลาดทางเทคนิค — แต่มันคือความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของแนวคิดประชานิยมที่บ่อนทำลายรากของประเทศทีละน้อย
ถึงเวลา “เปลี่ยนแนวคิด” จากการอุดหนุน ไปสู่การเสริมพลัง