ทางเลือกเศรษฐกิจ: IMF หรือคลองสุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics
) 200,000 กิโล
เมตร
หลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก รัฐบาลในขณะนั้นจำเป็นต้องพึ่งพากลไกต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) รวมถึงออกพระราชกำหนดกู้เงินเพิ่มเติมในปี 2545 ทั้งหมดนี้รวมเป็นภาระหนี้กว่า 2.4 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 6 ปี
แม้มาตรการเหล่านี้จะรักษาเสถียรภาพระบบการเงินได้ในระดับหนึ่ง แต่หากพิจารณาในเชิง “โอกาสที่สูญเสียไป” เราพบว่ามีทางเลือกที่อาจให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่ามาก นั่นคือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อประชาชน อย่างโครงการ “คลองสุขวิช” ที่เสนอแนวคิดไว้ตั้งแต่ปี 2539–2540
การวิเคราห์เชิงเศรษฐมิติ หากใช้เงิน 2.4 ล้านล้านบาทไปกับการขุดคลองความยาว 200,000 กิโลเมตรทั่วประเทศแทนที่จะอัดฉีดเข้าสถาบันการเงิน ผลตอบแทนจะต่างกันเพียงใด?
วิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติ
การวิเคราะห์นี้ใช้หลักการคำนวณ มูลค่าอนาคต (Future Value) ของเงินลงทุน โดยเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของสองทางเลือก:
ในกรณีของการใช้เงินเพื่อกู้วิกฤตการเงิน อัตราผลตอบแทนที่พอจะคาดการณ์ได้จากการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างคลองสุขวิช ซึ่งจะกระตุ้นการจ้างงาน การผลิตทางการเกษตร และโลจิสติกส์ในทุกตำบลทั่วประเทศ อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่อย่างน้อย 6% ต่อปี หรือมากกว่า
หากลงทุน 2.4 ล้านล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี ในกรณีของมาตรการ IMF–FIDF มูลค่าอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.87 ล้านล้านบาท ขณะที่การลงทุนในคลองสุขวิชจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 3.40 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าถึง 530,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเท่ากัน
ความหมายที่ลึกกว่าเงิน
ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ตัวเลขผลตอบแทนที่ต่างกันเท่านั้น แต่คือความแตกต่างในผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ:
การใช้เงินกับสถาบันการเงินส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานในชนบท
ไม่ได้กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับตำบลหรือหมู่บ้าน
เป็นเพียงการรักษาสถานะของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ไม่ใช่การฟื้นฟูชีวิตประชาชนทั่วไป
ในทางตรงกันข้าม หากใช้เงินจำนวนนี้เพื่อขุดคลองทั่วประเทศ:
จะมีการจ้างแรงงานจำนวนมหาศาล
สร้างระบบชลประทานและการเดินเรือภายในใหม่
กระตุ้นอุตสาหกรรมก่อสร้าง การเกษตร และการขนส่ง
เพิ่มมูลค่าที่ดินและทรัพยากรในพื้นที่ห่างไกล
ลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว
ผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ของคลองสุขวิชจึงอาจสูงถึง 2.5–3 เท่า เทียบกับเพียง 1.2–1.5 เท่าของมาตรการการเงิน
บทสรุป
การวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิตินี้ชี้ให้เห็นว่า หากประเทศไทยในช่วงวิกฤตปี 2540 กล้าตัดสินใจลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประชาชน แทนที่จะพึ่งพาการกู้เงินเพื่อพยุงระบบการเงินแบบเดิม ประเทศอาจฟื้นตัวได้เร็วกว่า เข้มแข็งกว่า และทั่วถึงมากกว่า
สุขวิชโนมิกส์(Sukavichinomics) : คลอง200000 กิโลเมตร จึงไม่ใช่แค่ “ความฝันเชิงวิศวกรรม” แต่เป็น แบบจำลองเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่มีศักยภาพสูงในการลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการจ้างงาน และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากฐานราก หากใช้หลักคิดนี้จริงนี้ตั้งแต่ปี 2540 ประเทศไทยในวันนี้อาจไม่ใช่ประเทศที่ยังคงติดกับดักรายได้ปานกลางเช่นปัจจุบัน
หลักฐานอ้างอิง
2.4 ล้าน ล้าน บาท
ประเทศไทยต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ถึง 480,000 ล้านบาท เพื่อมาเป็นทุนสำรองในคลัง แถมยังมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ที่ต้องไปกู้ยืมมาอีก 1,140,000 ล้านบาท เพื่อนำมาพยุงกลุ่มสถาบันการเงินไม่ให้ล้ม
ในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลไทยได้ออกพระราชกำหนดกู้เงินเพิ่มเติมจำนวน 780,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินและปรับโครงสร้างหนี้ภายในประเทศ . มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตการณ์
ทำไม‘เริงชัย’ ไม่ต้องชดใช้ 1.86 แสนล้าน เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาคดีป้องค่าเงินบาท
ทางเลือกเศรษฐกิจ: IMF หรือคลองสุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) 200,000 กิโลเมตร
หลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก รัฐบาลในขณะนั้นจำเป็นต้องพึ่งพากลไกต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) รวมถึงออกพระราชกำหนดกู้เงินเพิ่มเติมในปี 2545 ทั้งหมดนี้รวมเป็นภาระหนี้กว่า 2.4 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 6 ปี
แม้มาตรการเหล่านี้จะรักษาเสถียรภาพระบบการเงินได้ในระดับหนึ่ง แต่หากพิจารณาในเชิง “โอกาสที่สูญเสียไป” เราพบว่ามีทางเลือกที่อาจให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่ามาก นั่นคือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อประชาชน อย่างโครงการ “คลองสุขวิช” ที่เสนอแนวคิดไว้ตั้งแต่ปี 2539–2540
การวิเคราห์เชิงเศรษฐมิติ หากใช้เงิน 2.4 ล้านล้านบาทไปกับการขุดคลองความยาว 200,000 กิโลเมตรทั่วประเทศแทนที่จะอัดฉีดเข้าสถาบันการเงิน ผลตอบแทนจะต่างกันเพียงใด?
วิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติ
การวิเคราะห์นี้ใช้หลักการคำนวณ มูลค่าอนาคต (Future Value) ของเงินลงทุน โดยเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของสองทางเลือก:
ในกรณีของการใช้เงินเพื่อกู้วิกฤตการเงิน อัตราผลตอบแทนที่พอจะคาดการณ์ได้จากการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างคลองสุขวิช ซึ่งจะกระตุ้นการจ้างงาน การผลิตทางการเกษตร และโลจิสติกส์ในทุกตำบลทั่วประเทศ อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่อย่างน้อย 6% ต่อปี หรือมากกว่า
หากลงทุน 2.4 ล้านล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี ในกรณีของมาตรการ IMF–FIDF มูลค่าอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.87 ล้านล้านบาท ขณะที่การลงทุนในคลองสุขวิชจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 3.40 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าถึง 530,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเท่ากัน
ความหมายที่ลึกกว่าเงิน
ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ตัวเลขผลตอบแทนที่ต่างกันเท่านั้น แต่คือความแตกต่างในผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ:
การใช้เงินกับสถาบันการเงินส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานในชนบท
ไม่ได้กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับตำบลหรือหมู่บ้าน
เป็นเพียงการรักษาสถานะของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ไม่ใช่การฟื้นฟูชีวิตประชาชนทั่วไป
ในทางตรงกันข้าม หากใช้เงินจำนวนนี้เพื่อขุดคลองทั่วประเทศ:
จะมีการจ้างแรงงานจำนวนมหาศาล
สร้างระบบชลประทานและการเดินเรือภายในใหม่
กระตุ้นอุตสาหกรรมก่อสร้าง การเกษตร และการขนส่ง
เพิ่มมูลค่าที่ดินและทรัพยากรในพื้นที่ห่างไกล
ลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว
ผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ของคลองสุขวิชจึงอาจสูงถึง 2.5–3 เท่า เทียบกับเพียง 1.2–1.5 เท่าของมาตรการการเงิน
บทสรุป
การวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิตินี้ชี้ให้เห็นว่า หากประเทศไทยในช่วงวิกฤตปี 2540 กล้าตัดสินใจลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประชาชน แทนที่จะพึ่งพาการกู้เงินเพื่อพยุงระบบการเงินแบบเดิม ประเทศอาจฟื้นตัวได้เร็วกว่า เข้มแข็งกว่า และทั่วถึงมากกว่า
สุขวิชโนมิกส์(Sukavichinomics) : คลอง200000 กิโลเมตร จึงไม่ใช่แค่ “ความฝันเชิงวิศวกรรม” แต่เป็น แบบจำลองเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่มีศักยภาพสูงในการลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการจ้างงาน และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากฐานราก หากใช้หลักคิดนี้จริงนี้ตั้งแต่ปี 2540 ประเทศไทยในวันนี้อาจไม่ใช่ประเทศที่ยังคงติดกับดักรายได้ปานกลางเช่นปัจจุบัน
หลักฐานอ้างอิง 2.4 ล้าน ล้าน บาท
ประเทศไทยต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ถึง 480,000 ล้านบาท เพื่อมาเป็นทุนสำรองในคลัง แถมยังมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ที่ต้องไปกู้ยืมมาอีก 1,140,000 ล้านบาท เพื่อนำมาพยุงกลุ่มสถาบันการเงินไม่ให้ล้ม
ในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลไทยได้ออกพระราชกำหนดกู้เงินเพิ่มเติมจำนวน 780,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินและปรับโครงสร้างหนี้ภายในประเทศ . มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตการณ์
ทำไม‘เริงชัย’ ไม่ต้องชดใช้ 1.86 แสนล้าน เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาคดีป้องค่าเงินบาท