ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ

บางทีเราออกเสียงคำศัพท์ถูกต้องแล้ว แต่สำเนียงยังไม่ดีขึ้นสักที เพราะมันมีมากกว่าแค่ pronunciation ครับ

ลองมาดู 3 หัวข้อที่เราต้องฝึกควบคู่ไปกับการฝึกออกเสียงคำศัพท์ ที่จะทำให้ภาษาอังกฤษของเราฟังดูแล้วเหมือน native speaker มากขึ้น

1) การเน้นพยางค์ (Word stress)
ก่อนจะเน้นพยางค์ได้ ต้องนับพยางค์ให้เป็นก่อน โดยเราจะนับจาก “เสียงสระ” เช่นคำว่า “star” แม้ภาษาไทยเราจะพูดว่า “สะ-ตาร์” แต่ในภาษาอังกฤษมันมีสระแค่ตัวเดียว (-ar) คำนี้ก็ถือว่ามีแค่หนึ่งพยางค์ครับ (สฺตาร์)

สำหรับเรื่องการเน้นพยางค์ พอเราเจอคำที่มีสองพยางค์ขึ้นไป เราต้องพยายามตอบคำถามอยู่เสมอว่าคำนี้เน้นพยางค์ไหน...

- คำสองพยางค์บางทีก็เน้นข้างหน้า (เน้นพยางค์แรก) เช่น COFfee, TAble, LANguage, HOPEful, WINdow โดยเรามักจะใช้ ไม้โท หรือไม้ตรี เพื่อแสดงการเน้นพยางค์ในภาษาไทย (เช่น coffee อ่านว่า “ค๊อฟ-ฟี” หรือ table อ่านว่า “เท๊-เบิ่ลฺ”) แต่ในภาษาอังกฤษจะใช้สัญลักษณ์ ˈ แทน (เราเรียกว่า “primary stress mark”) สามารถเช็กได้จากสัญลักษณ์โฟเนติกส์ครับ (เช่น coffee -> /ˈkɒf.i/ แม้จะอ่านตัวโฟเนติกส์ไม่ออก เราก็ยังรู้ว่ามันเน้นพยางค์แรก)

- จุดที่ยากก็คือ คำสองพยางค์บางคำก็เน้นข้างหลัง (ถ้ามันเน้นพยางค์แรกเหมือนกันหมด การออกเสียงก็คงจะง่ายไปเลย but alas... it ain’t that easy!) เช่นคำว่า adVANCED, aGREE, reFUSE, carTOON, croisSANT โดยเฉพาะคำกริยา (เช่น conFUSE, mainTAIN, creATE) หรือคำยืมจากต่างประเทศ (เช่น croissant หรือ “ครัวซ็อง” ที่เป็นที่คำที่อังกฤษยืมจากฝรั่งเศส ก็จะเน้นพยางค์หลัง โฟเนติกส์คือ /kwɑːˈsɑːnt/ ***สำเนียงอเมริกัน)

- คำสามพยางค์ก็เหมือนกันเลย บางคำเน้นพยางค์แรก (เช่น DANgerous, REStaurant, HOSpital) บางคำเน้นตรงกลาง (เช่น comPUter, OcTOber, euPHOria) หรือบางคำก็เน้นพยางค์หลังสุด (มีไม่เยอะครับ เช่น guaranTEE, JapaNESE, engiNEER)
สำหรับคำที่มีมากกว่าสามพยางค์ขึ้นไป เราจะมองหา suffix เพื่อช่วยในการเน้น เช่น suffix “-tion” ที่มักจะมีกฎว่าเราจะเน้นก่อนหน้ามันเสมอ เช่น inforMAtion, reveLAtion, situAtion เป็นต้น
พอแม่นเรื่องการเน้นพยางค์ ก็ผ่านด่านแรกของการปรับสำเนียงให้ดีขึ้นครับ มาดูด่านที่สองกันเลย
_______________

2) การใช้โทนเสียง (Intonation)

เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่โชคดีสำหรับภาษาไทยที่เรามีระบบวรรณยุกต์อยู่แล้ว ดังนั้นเราเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ มันมีหลักการง่าย ๆ เลยคือ...

- ประโยคบอกเล่า (statement) ต้องลงท้ายด้วยเสียงต่ำ ๆ เช่น I want to go home. เสียงต้องพุ่งลงต่ำ เราเรียกว่า “falling intonation“

- ประโยคคำถาม (yes-no question) ต้องลงท้ายด้วยเสียงสูง เช่น Do you want to go now? เสียงต้องพุ่งขึ้นสูง เราเรียกว่า “rising intonation“

แต่มันก็ไม่ง่ายซะทีเดียวครับ เพราะบางทีประโยคคำถามก็ลงท้ายด้วยเสียงต่ำได้ โดยมันจะเป็นประโยคคำถามแบบ wh-question (คำถามที่ขึ้นต้นด้วย what, when, where why etc.) ฟังแล้วก็จะคล้าย ๆ ประโยคบอกเล่าเลย เช่น WHAT is your name? หรือ WHY did you do that?
และบางทีมันก็ซับซ้อนขึ้นไปอีกคือบางประโยคมันมีทั้งเสียงสูงและต่ำอยู่ในประโยคเดียวกัน เราเรียกว่าประโยคแบบ if-clause หรือประโยคที่มันแบ่งออกเป็นสองใจความ (ไม่ใช่แค่ if-clause แต่รวมถึงประโยคที่เชื่อมด้วย when, and, before, after อะไรพวกนี้ด้วยครับ)

ใจความแรกจะเสียงสูง และใจความที่สองจะจบด้วยเสียงต่ำ เช่น If you want to go home... just tell me now. แต่มันก็อธิบายได้ไม่ยากคือ ถ้าเรายังพูดไม่จบประโยค... ให้เราใช้เสียงสูงก่อน พอจะจบประโยคแล้วค่อยลงท้ายด้วยเสียงต่ำ (เพรราะยังไงซะมันก็คือประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม)

พอคล่องในด่านที่สองแล้ว มาดูด่านสุดท้ายที่ว่าเป็นเรื่องยากสุด ๆ สำหรับคนไทยครับ (เล่าจากประสบการณ์ตรงที่ได้สอนนักเรียนเรื่องการปรับสำเนียงมาจะ 10 ปีแล้ว ทั้งวัยเด็ก จนวัยทำงาน ไปจนถึงวัยใกล้เกษียณ พอเจอเรื่องที่สามนี้จะใช้เวลากันนานหน่อยเมื่อเทียบกับสองเรื่องที่ผ่านมา)
_______________

3) การเชื่อมเสียง (linking sounds)

ทำไมมันยาก? ขอตอบคำถามนี้ก่อนเลยจะได้เคลียร์ ๆ คือที่มันยากก็เพราะว่าโดยธรรมชาติของภาษาไทยเราไม่ได้ออกเสียงพยัญชนะท้าย (final sounds) กันอยู่แล้ว เช่น sit เราก็อ่านแค่ ซิท (ไม่ใช่ ซิท-ถึ) หรือ stop เราก็อ่านแค่ สต๊อพ (ไม่ใช่ สต๊อพ-พึ) ก็เลยทำให้ไม่เกิดการเชื่อมเสียงสักที (แต่นักเรียนบางคนที่ออกเสียงท้ายเป็นอยู่แล้ว ก็จะตรงข้ามเลยครับ เรื่องนี้จะง่ายมาก ๆ)

ในช่วงแรกที่เริ่มฝึกเราก็เลยต้องฝึกเชื่อมเสียงโดยการ "เอาพยัญชนะท้ายของคำก่อนหน้า... มาไว้กับคำหลังไปเลย" (ฟังแล้วงง ๆ ดูตัวอย่างจะเคลียร์นะ)
ตัวอย่างเช่น stop it ให้ฝึกอ่านเป็น “sto-pit” (สต๊อพ-ผิทฺ) หรือ it’s okay ก็ให้ฝึกอ่านเป็น “it-so-kay” (อิท-โซ-เค) ไปเลย

- แบบฝึกหัดที่ช่วยได้ดีมาก ๆ คือการเชื่อมเสียงด้วยตัว -s นี่แหละครับ โดยเราจะใช้ It’s… หรือ that’s… ตามด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ และฝึกเชื่อมเสียงไปเรื่อย ๆ จนคล่อง เช่น It’s alright. (อ่าน “it-sal-right”) / That’s enough. (อ่าน “that-se-nuf“) / It’s on me. (อ่าน it-son-me) / That’s awesome. (อ่าน “that-sawe-some”) ฝึกเชื่อมมันไปเรื่อย ๆ

ฝึกแบบนี้ไปจนคล่อง แล้วการเชื่อมเสียงจะง่ายขึ้น (พอเราเริ่มมี awareness หรือความคุ้นเคย มันก็จะมาแบบเป็นธรรมชาติขึ้นเอง ไม่มีทางลัดแต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ฝึกแป๊บเดียวก็คล่องจริง ๆ ครับ) แล้วค่อยไปฝึกกับเสียงอื่น ๆ เช่นเสียง -t ก็เจอบ่อย เช่น Get up (อ่าน ge-tup) หรือ Forget it (อ่าน for-ge-tit)
_______________

ไม่ได้มีแค่นี้นะ แต่นี่คือสามด่านแรกที่สำคัญ พอฝึกจนคล่องแล้วก็ยังมีด่านต่อ ๆ ไปที่เราต้องฝึกต่อ (เช่นเรื่อง “sentence stress” ที่ต่อยอดจาก word stress หรือเรื่อง “intonation staircase” ที่ต่อยอดมากจาก intonation รวมไปถึงเรื่อง “linking vowels" ที่ต่อยอดจาก linking sounds นั่นเอง เราจะฝึกไปเป็นระดับและต่อยอดไปเรื่อย ๆ)

เอาจริงมันสนุกมาก ๆ ครับ สำเนียงคือเรื่องโปรดของผมเลย (คนที่เขิน ๆ ในตอนแรก ฝึกไปสักพักก็เริ่มชอบสำเนียงตัวเองและกล้าพูดมากขึ้น) และยิ่งฝึกไปเราก็จะยิ่งพบว่าการปรับสำเนียงมันไม่ยากเลยครับ และไม่เหมือนที่ใครพูดว่าต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่งั้นหมดสิทธิ์สำเนียงดี ลูกศิษย์ผมบางคน 40+ ก็สามารถปรับสำเนียงจากไทย ๆ เป็นค่อนไปทาง British หรือ American ได้ (มันไม่ perfect ครับ ผมยอมรับเลยนะ แต่เทียบกับการฝึกแค่สามเดือน สำเนียงมันกลายเป็นคนละคนกับตอนแรกเลย)

เก็บไว้ทบทวนละกัน (ค้นหาหัวข้อเหล่านี้ได้ครับ ผมเคยเขียนไว้เยอะเลย)

รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน
JGC.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่