อยากพูดอังกฤษได้ต้องอ่าน! Basic Speaking Skills ที่คนเรียนภาษาอังกฤษควรรู้

What's up?!

กระทู้นี้ผมจะพูดถึงเทคนิคการเรียน speaking skills ที่จะช่วยให้พูดอังกฤษได้ดีขึ้นครับเราจะมาดู ‘issue’ (ประเด็น) ที่เราต้องคำนึงถึงอยู่เสมอเมื่อเรียน speaking

สำหรับใครที่ต้องการจะ ‘พูดอังกฤษได้’ ‘พูดอังกฤษคล่อง’ ‘พูดให้คนฟังเข้าใจ’ ‘พูดให้ลื่นหู’ ‘พูดด้วยสำเนียงที่ดี’ ไปจนถึง ‘พูดได้เป๊ะเหมือนเจ้าของภาษา’ ต้องทำความเข้าใจกับ issue พวกนี้ก่อนครับ

แบ่งออกเป็น 4 หัวข้อดีนี้ครับ เราจะเรียกมันว่า Pronunciation issue (ประเด็นในเรื่องการออกเสียง)
1. Pitch (ระดับเสียง)
2. Intonation (การขึ้นเสียงสูงต่ำในประโยค)
3. Individual sounds (เสียงพยัญชนะและสระแต่ละตัว)
4. Stress (การเน้นพยางค์ในคำ และการเน้นคำในประโยค)

4 ประเด็นนี้ถือเป็นหัวใจหลักของ speaking skill เลย บอกเลยว่าแม้จะฝึกหนักขนาดไหน ถ้าไม่เข้าใจ 4 เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะพูดอังกฤษได้ดีครับ
มาดูกันเลยดีกว่าว่าแต่ละ issue มันคืออะไรยังไง

1. Pitch (ระดับเสียง)

Pitch คือระดับเสียงของเราเวลาที่เราพูดครับ ในภาษาไทยเราก็มีการใช้ Pitch เหมือนกัน ลองสังเกตน้ำเสียงของคนเวลาเขาโกรธ เศร้า เสียใจ หรือตื่นเต้นดีใจดูครับ จะเห็นได้ว่าแต่ละอารมณ์นั้นก็มีระดับเสียงที่ต่างกัน (โกรธเสียงสูง เศร้าเสียงต่ำ) พูดง่าย ๆ ว่าเราสามารถสื่อสารอารมณ์ (emotion) และ ทัศนคติ (attitude) ของเราผ่านการใช้ Pitch ของเรานั่นเองครับ

ลองดูตัวอย่างง่าย ๆ จากประโยค ‘ดีใจด้วยนะที่สอบผ่าน’ ในบริบทนี้ดู

แฟนสาวของนาย ก. สอบติดมหาลัยที่กรุงเทพ ซึ่งมันทำให้เขาทั้งสองคนต้องแยกจากกัน เพราะ นาย ก. สอบติดมหาลัยเชียงใหม่
นาย ก. โทรมาแสดงความยินดีด้วยประโยค ‘ดีใจด้วยนะที่สอบผ่าน’ แต่เขาพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ เนือย ๆ  เราก็จะรู้สึกได้ว่าเขาเสียใจที่แฟนของเขาสอบติดใช่มั้ยครับ แม้ว่าเขาจะพูดว่าดีใจก็ตาม

ในภาษาอังกฤษก็เป็นแบบนี้เช่นกันครับ บางประโยคเราจะแปลความหมายของมันได้ถูกต้องดู pitch ของ speaker ด้วยครับ
อย่างประโยค ‘I know’ สามารถสื่อได้หลายอารมณ์และความหมายมาก

ถ้าเราพูดประโยค I know! ด้วยเสียงสูง (ประมาณ อ๊าย โน๊ว) มันอาจจะแสดงถึงความรำคาญของเราแบบ ‘เออน่ารู้แล้วโว้ยย พูดอยู่ได้!’
แต่ถ้าเราบอกพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ มันก็อาจจะแสดงถึงอารมณ์ เบื่อ ประมาณว่า ‘รู้แล้วน่า ใคร ๆ ก็รู้ จะพูดอีกทำไม’
แต่ถ้าเราบอก I know ด้วยเสียงกลาง ๆ ไม่สูงไม่ต่ำ มันก็อาจจะหมายความว่า ‘ฉันรู้ดี’ เฉย ๆ ก็ได้ครับ

ที่เราต้องเข้าใจเรื่องนี้เพราะเวลาฝรั่งเขาพูดเขาจะใช้ Pitch ตลอด
สรุปง่าย ๆ จากข้อแรกก็คือ
-    อย่าพูดภาษาอังกฤษแบบ monotone คือ พูดแบบไม่มี Pitch เลย เสียงราบเรียบเท่ากันหมด ลองพยายามใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปในประโยคของเราด้วยการใช้เสียงสูงต่ำดูครับ แล้วจะพบว่าภาษาอังกฤษของเราเป็นธรรมดามากขึ้น สามารถฝึกได้จากการสังเกตเวลาฝรั่งพูดในแต่ละสถานการณ์ว่าเขามีโทนเสียงยังไงเวลาพูดประโยคนี้ คำนี้ แล้วลองก็อปปี้ตามดู  

ในประโยคหนึ่งก็อาจจะมี เสียงสูงต่ำ หรือ pitch pattern หลายแบบ ซึ่งเราเรียก pitch pattern พวกนี้ว่า intonation นั่นเองครับ ดูในหัวข้อต่อไปเลย

2. Intonation
ต่อมาเรามารู้จักกับ Intonation หรือ ‘การขึ้นเสียงสูง-ต่ำในประโยค’ กันครับ อย่างที่กล่าวไปข้างบนครับ Intonation คือการที่เราสลับเปลี่ยน pitch pattern ในประโยคจนเกิดเป็นเสียงสูงต่ำ

"เราจะไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนที่เราพูดภาษาไทย คือ เราจะไม่เน้นทุกคำ (ภาษาอังกฤษจะเน้นแค่คำสำคัญ!) และเราจะมีการลงท้ายด้วยเสียงต่ำหรือเสียงสูงเวลาจบประโยค หรือจบวลีหนึ่งวลี"

แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าประโยคไหนเราควรจบด้วยเสียงสูงหรือเสียงต่ำ หรือเสียงสูง-ต่ำ-สูง! (อย่าเพิ่งตกใจครับ เดี๋ยวจะมีอธิบายให้ 'ได้ยิน' ในวีดีโอด้วย)
เราแบ่ง Intonation ออกเป็น 3 แบบหลัก
2.1 "Rising Intonation" หรือ "Rising inflection"
คือ การขึ้นเสียงสูง หรือการพุ่งขึ้นของเสียง (ความหมายเดียวกันครับ)  พูดง่าย ๆ คือ การที่เราลงท้ายประโยคด้วยเสียงสูง (เหมือนเวลาที่นางในหนังจีนอุทานเวลาสงสัย)

ซึ่งประโยคที่มักถูกลงท้ายด้วยเสียงสูงได้แก่
- Question
หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้างว่าเราจะขึ้นเสียงสูงกับประโยคคำถามแบบ Yes-No เท่านั้น ซึ่งนั้นก็จริงบางส่วน แต่ก็มีบางครั้งที่ประโยคคำถามแบบ WH-question ลงท้ายด้วยเสียงสูงเหมือนกัน โดยเฉพาะในตอนที่ผู้พูดกำลังมีความสงสัยอย่างมาก
แต่ตอนนี้ก็ให้จำแค่ว่า ‘Yes-no question จบด้วยเสียงสูง’ (Are you okay? Do you want some food?)
และประโยคแบบ Wh-question จะจบด้วยเสียงต่ำครับ (What’s your name? Where are you?)

- List
คำนี้แปลไทยยาก เพราะเราใช้ทับศัพท์กันมานาน พูดว่าการลิสต์เฉย ๆ ทุกคนน่าจะเข้าใจไม่ยาก หรือถ้าอยากให้แปล ก็น่าจะแปลว่า การสาธยาย การร่ายรายการ อะไรทำนองนั้น 5555

ถ้าเรายังลิสต์ไม่จบรายการ เราจะทิ้งท้ายไว้ด้วยเสียงสูงเสมอ เพื่อเป็นการบอกว่า ยังพูดไม่จบ!
ตัวอย่างเช่น I want to buy some mangoes (แม็งโก๊วว - ลากเสียงขึ้นสูง), apples (แอพเพิ๊ล), and oranges (คำนี้ก็ลงเสียงต่ำเลยครับ)


***สำหรับ native speaker การขึ้นเสียงสูงท้ายประโยคแสดงถึง ความไม่จบ (Unfinish-ness) เป็นบอกว่าเขายังมีสิ่งที่จะพูดต่ออยู่ หรือในกรณีของคำถาม เสียงสูงเหมือนเป็น การเชิญชวนให้ตอบ (Invitation to respond) ดังนั้นเวลาเขาจบด้วยเสียงสูงก็อาจเพราะเขามีอะไรจะพูดต่อ หรือเขาอยากให้เราตอบอะไรไปนั่นเองครับ แล้วแต่บริบท


2.2 "Falling Intonation" หรือ "Falling inflection"
คือ การลงเสียงต่ำ หรือการลากเสียงลงต่ำในตอนท้ายประโยค สังเกตไหมว่าฝรั่งมักจะพูดแล้วเสียงหายเข้าไปในคอในตอนจบ นั่นเพราะเขากำลังจบประโยคด้วย Falling intonation

เราจะลากเสียงลงต่ำกับประโยคเหล่านี้

- Statements (ประโยคบอกเล่า)
I don’t like it.
I want to go to the party.

- Commands (ประโยคคำสั่ง)
Be quiet.
Stand up.

- Exclamations (ประโยคอุทาน)
It’s amazing!
It’s so good!

- Wh-question (ประโยคคำถาม)
What time is it?
Who is that?

*** สำหรับ native speaker เสียงต่ำแสดงถึงความหนักแน่น ความสมบูรณ์ หรือความจบประโยคนั่นเอง เป็นเสียงที่ทำให้รู้ว่า speaker ได้พูดทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว

2.3 "Circumflex Intonation"
คือ การขึ้นเสียงสูง-ต่ำ-สูง นั่นก็คือการที่เราลงท้ายประโยคด้วยการขึ้นเสียงสูง ลงเสียงต่ำ และกลับไปขึ้นเสียงสูงอีก (ถ้าใครคิดเสียงตามไม่ออก พอได้ดูวีดีโอแล้วจะอ๋อครับ ตอนนี้อ่านไปคร่าว ๆ ก่อนละกันเนอะ)

Circumflex จะให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับ Rising Intonation คือ เป็นการบอกว่าผู้พูดยังพูดไม่จบนะ อย่าเพิ่งขัดจังหวะ อย่าเพิ่งพูดแทรก แต่จะต่างกันตรงที่เราจะใช้ Circumflex กับประโยคบอกเล่าครับ ไม่ได้ใช้กับคำถามหรือลิสต์

ถึงตรงนี้ก็อย่าลืมแวะเข้าไปดูวีดีโอเรื่อง intonation ในเพจด้วยนะครับ
ลิ้งค์ วีดีโอ:https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/videos/vb.409501445840561/517356728388365/?type=2&theater

อย่าลืมไปหาอ่านเพิ่มเติมด้วยนะ

3. Individual sounds
ในส่วนของ Individual sounds ผมจะพูดถึงการออกเสียงพยัญชนะและสระแต่ละตัวในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง

เริ่มจากสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือ ‘ในภาษาอังกฤษเราต้องออกเสียงพยัญชนะท้ายด้วย!

อย่างคำว่า Dog เวลาพูดเราก็จะต้องออกเสียงตัว g ด้วย ให้ออกเสียงประมาณ ด็อก(เกอะ) จะมีเสียง เกอะ เล็ก ๆ ตามมา แนะนำให้ลองเปิดดิกชันนารีออนไลน์ แล้วกดฟังเสียงดูแล้วจะเข้าใจครับ

เรื่องต่อมาคือเรื่องของ ‘พยัญชนะแบบ voiced และ voiceless’ หรือพยัญชนะแบบเสียงสั่น (หรือแบบมีเสียง) และแบบที่มีแค่ลมออกมานั่นเอง (แบบไม่มีเสียง)

เราควรทำความเข้าใจเรื่องนี้เพราะถ้าเราดันไปออกเสียงพยัญชนะแบบ voiced เป็น voiceless เนี่ย ความหมายของคำศัพท์อาจจะเปลี่ยนได้ครับ
เช่นในคำว่า Fan กับ Van ซึ่งทั้งสองตัวนี้มี ‘ตำแหน่งออกเสียง (articulator)’ เดียวกันคือ ฟันบนประกบกับริมฝีปากล่าง แต่ F จะไม่มีเสียง (มีแค่ลม) ในขณะที่ V จะมีเสียง (ลองเอามีวางทีคอ คอของเราจะสั่นกับพยัญชนะแบบ Voiced)

คอนเซปต์ Voiced กับ voiceless ก็อาจจะทำความเข้าใจยากนิดหน่อยเพราะผมคงจะเขียนให้ทุกคน ‘ได้ยิน’ ไม่ได้ เอาเป็นว่าลองหาในยูทูปมีอาจารย์หลายท่านได้อธิบายไว้เรียบร้อยแล้วครับ (เดี๋ยวผมแปะลิ้งค์ไว้ด้านล่าง)

ส่วนคอนเซปต์เรื่อง ตำแหน่งการออกเสียง (articulators) ของแต่ละพยัญชนะก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน ยังไงเดี๋ยวผมจะทำกระทู้เจาะลึกสองประเด็นนี้มาให้ละกันครับ ตอนนี้เอาแบบคร่าว ๆ ให้ลองไปศึกษาเองไปพลาง ๆ ก่อนละกัน

อีกเรื่องที่สำคัญของเสียงสระ ในภาษาอังกฤษ ใครที่อยากมีสำเนียงที่ดีเขียนก็ต้องลองศึกษา Vowel chart (ตารางสระ) ของภาษาอังกฤษแล้วฝึกออกเสียงตามดูครับ เดี๋ยวผมแปะลิ้งค์ยูทูปที่จะช่วยอธิบายไว้ให้ด้วยละกันครับ

ลองเริ่มจากวีดีโอนี้ ช่วงประมาณนาทีที่ 1.10 ดูครับ เขาจะออกเสียงแต่ละพยัญชนะให้ดู อาจจะพอให้เห็นภาพได้ระหว่างพยัญชนะแบบ Voiced และ Voiceless ได้
ลิงค์วีดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=u0sdVIb5fpE

ส่วนอันนี้เป็นวีดีโอสอนของเสียงสระและพยัญชนะในภาษาอังกฤษ ครบทุกคำเลย (เป็นเพลย์ลิสนะครับ ให้ลองฝึกคู่กับ vowel chart ดุเดี๋ยวผมแนบรูปไว้ในด้วย)
ลิงค์วีดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=TNFKG0yvDx4&list=PLE2A374AF7E6ADC89

ส่วนอันนี้รูป Vowel chart ไว้เป็นแนวทางในการฝึกครับ

สรุปพาร์ทเรื่อง individual sounds แบบง่าย ๆ คือ
-      อย่าลืมออกเสียงพยัญชนะท้าย
-      ใช้ตำแหน่งออกเสียง (articulator) ให้ถูกด้วย เช่นตัว V ก็ต้องใช้ ฟันบนกับริมฝีปากล่าง และออกเสียงแบบ voiced
-      ฝึกออกเสียงสระให้ถูกต้องเพื่อสำเนียงที่ดีขึ้น

แล้วเดี๋ยวผมทำกระทู้เจาะลึกออกมาอีกทีให้กระจ่างกว่านี้นะครับ

เรื่อง stress อ่านต่อในคอมเมนต์เลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่