ในวันที่พายุเข้ามา ในวันที่ฉันไม่พร้อมจะสู้กับมัน

ในวันที่พายุเข้ามา ในวันที่ฉันไม่พร้อมจะสู้กับมัน

บางครั้ง เราอาจใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
เลือกทำดี พูดดี คิดดี
แต่แล้ววันหนึ่ง… พายุก็เข้ามา
ไม่มีคำเตือน ไม่มีร่องรอยล่วงหน้า
มันเหมือนมีใครสักคน กดปุ่มเปลี่ยนชีวิตในชั่วพริบตา
ฉันเคยคิดว่า  ถ้าฉันไม่เคยทำร้ายใคร แล้วทำไมต้องเจออะไรแบบนี้
แต่พอนั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองนานพอ
ก็เริ่มรู้ว่า... บางอย่าง มันไม่ได้เริ่มที่ชาตินี้
หลายคนอาจไม่เชื่อเรื่องกรรมเก่า
แต่สำหรับฉัน มันคือคำอธิบายเดียว ที่ทำให้หัวใจสงบ
บางที...เราอาจเคยทำอะไรไว้กับใคร
บางที...สิ่งที่เจอวันนี้ คือผลจากสิ่งที่เราเคยไม่ใส่ใจในวันวาน
กรรม...มันไม่เคยลืมใคร
แต่สิ่งที่ทำให้มันน่ากลัว คือ มันไม่มาตอนที่เราพร้อม
มันมาวันที่เราเหนื่อยแล้ว วันใจล้า วันไม่เหลือใคร
แล้วเราก็ต้องยืนรับมัน...คนเดียว
แต่ก็ใช่ว่าจะต้องยอมแพ้
เพราะชีวิต...มันเหมือนเกมส์
แค่ต่างจากเกมส์ตรงที่ เติมเงินซื้อทางลัดไม่ได้
และ...มีชีวิตเดียว ตายได้ครั้งเดียว
เกมส์พังได้ รีเซ็ตได้
แต่ชีวิตจริง...มันล้มได้เท่านั้น
ล้มซ้ำเท่าไหร่ก็ลุกได้ แต่ถ้าล้มแล้ว ไม่อยากอยู่ต่อ
นั่นคือจุดจบ ที่ไม่มีปุ่ม เริ่มใหม่
คนที่ฆ่าตัวตาย ไม่ได้หนีกรรมได้หรอก
มีแต่จะพาไปผูกเงื่อนใหม่ ให้ตัวเองอีกหลายภพชาติ
บางครั้ง เราต้องอยู่ต่อ
ไม่ใช่เพราะหวังว่าอะไรจะดีขึ้นทันที
แต่เพราะรู้ว่า... มันยังไม่จบ
เรายังติดหนี้กรรมอยู่ ยังมีอะไรต้องชดใช้
และการยอมแพ้กลางคัน มันคือการปัดภาระให้ตัวเราคนเดิมในภพหน้า
ชีวิตคนเรา ไม่มีสูตรสำเร็จ
แค่บางวันได้เห็นคนที่ลำบากกว่าเรา ยังยิ้มได้
มันก็ทำให้ใจเราหายเหนื่อย
อย่าลืมว่า...
แม้ชีวิตจะไม่ยุติธรรม
แต่กรรม...ยุติธรรมเสมอ
อย่าหนีมัน แต่เรียนรู้จากมัน
แล้วใช้ทุกลมหายใจ เป็นโอกาสในการเปลี่ยนกรรมร้าย
ให้กลายเป็นกรรมดี...ให้ได้มากที่สุด

พายุจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราจะเป็นคนเลือกเอง...ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน เมื่อมันพัดผ่าน


คนดี...ทำไมโดนซ้ำ

ฉันเคยได้ยินหลายคนพูด ทำดีแล้วได้ดีจริงเหรอ ฉันก็ไม่ได้ร้ายกับใคร ทำไมชีวิตมันถึงเป็นแบบนี้
บางคนอาจไม่พูดออกมา แต่เก็บไว้ในใจ
แล้ววันหนึ่งมันก็กลายเป็นความเหนื่อยล้า ที่ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน
ฉันเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นดี
เพราะฉันเอง...ก็เคยเป็นแบบนั้น
เราอาจเติบโตมากับความเชื่อที่ว่า ทำดีต้องได้ดี
แต่พอโลกแห่งความจริงเข้ามา มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอ
คนที่ทำไม่ดี กลับดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อน
ส่วนคนที่พยายามอดทนและไม่ทำร้ายใคร กลับเจอเรื่องหนักหนา
แต่เชื่อไหม...
กรรม ไม่เคยลืมใคร
มันแค่เลือก เวลา และ วิธี ในการสอนเราคนละแบบ
บางคนเจอกลับทันที
บางคนใช้เวลานานมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้
และบางครั้ง...
เราอาจไม่ได้ชดใช้ในชาตินี้เท่านั้น
แต่กำลังชดใช้หนี้กรรมที่เราสร้างไว้ ในชาติอื่น
เราอาจเคยเป็นคนดี ในชาตินี้
แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่า...
ในอดีตเราเคยทำอะไรไว้บ้างกับใคร
ทำไมต้องเจอคนนี้ ทำไมต้องเจอสถานการณ์แบบนี้
มันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยก็ได้
บางวันฉันก็ถามตัวเองว่า หนี้เก่าฉันเหลืออีกกี่บาท
เพราะบางที...การอยู่ต่อก็เหมือนการผ่อนหนี้
เจ็บช้า ๆ แต่แน่นอน
อย่างน้อยที่สุด มันก็คือการไม่สร้างหนี้เพิ่ม
ถ้าเราจะล้ม ก็ล้มด้วยหัวใจที่ยังอยากดี
ถ้าเราจะร้องไห้ ก็ร้องเพื่อล้างใจ ไม่ใช่เพื่อสาปแช่งใคร
เพราะทุกอย่างที่เราคิด ทุกคำที่เราพูด กำลังต่อยอด กรรมใหม่ เสมอ จำไว้นะ

กรรมไม่ได้ลงโทษเราเพื่อให้เจ็บ
แต่มันแค่อยากให้เรา  รู้ ว่า เราเคยทำอะไรไว้
เพื่อจะได้ ไม่ทำอีก
การยอมรับว่าทุกอย่างมีเหตุและผล
คือจุดเริ่มต้นของ ความเข้าใจชีวิต
และความเข้าใจ...คือก้าวแรกของการหลุดพ้น

ทำดีไม่ต้องรีบเห็นผล เพราะผลของความดี...มักมาช้า แต่มาเมื่อเราต้องการมันที่สุดเสมอ


วิธีอยู่กับกรรม โดยไม่จมกับมัน

หลังจากที่เรารู้ว่า
บางเรื่องที่เจอมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราทำผิดในวันนี้
แต่มันคือผลสะท้อนจากสิ่งที่เราทำไว้ทั้งที่จำได้ และจำไม่ได้
คำถามคือ…
แล้วจะอยู่กับมันยังไง โดยไม่ให้ใจจม
ฉันเคยเป็นคนที่พยายามจะ ชดใช้ กรรมแบบหักโหม
ทำดีทุกอย่าง ตื่นแต่เช้า ใส่บาตรทุกวัน พูดแต่คำดี ๆ
แต่ลึก ๆ ในใจกลับยังรู้สึกเหมือนเดิม เหนื่อย ท้อ และยังไม่พ้นจากความทุกข์
แล้ววันหนึ่งก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า อย่าใช้ชีวิตเพื่อแก้กรรมอย่างเดียว แต่ให้ใช้ชีวิตเพื่อ เข้าใจกรรม ด้วย
คำพูดนั้นเปลี่ยนฉันไปเลย เราทำดี ไม่ใช่เพื่อจะให้กรรมหมดเร็ว
แต่เพื่อให้เรามีแรงพอจะยืนอยู่ท่ามกลางกรรม ด้วยหัวใจที่ไม่สั่นไหว เพราะต่อให้เราสวดมนต์นับพันบท

ถ้าในใจยังโกรธแค้น อาฆาต หรืออยากเอาชนะใคร
เราก็แค่กำลังใช้ศรัทธาเป็นเกราะซ่อนความโกรธ
การอยู่กับกรรมให้ได้ คือ การยอมรับว่ามันมีอยู่ และมันยังไม่ไป
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ต้องนั่งรอให้มันจากไป เราทำหน้าที่ของเราต่อไป เหมือนเรากินข้าวตอนที่ฝนตก
คือ ไม่ได้รอให้ฝนหยุด...ถึงจะใช้ชีวิตต่อ เพราะถ้ารอ...ชีวิตเราก็จะหยุดไปด้วย
เราควบคุมกรรมเก่าไม่ได้ แต่เราควบคุม การกระทำในปัจจุบัน ได้
และทุกการกระทำที่เป็นกุศลในวันนี้ ก็คือร่มที่จะช่วยกันพายุในวันหน้า
อย่าเฝ้ารอผลของความดีเหมือนการปลูกต้นไม้แล้วคอยถามว่า เมื่อไหร่จะออกผล
ให้ดูว่าดินที่เรากำลังยืนอยู่ตอนนี้...มันเริ่มเย็นขึ้นหรือยัง
หัวใจเรานิ่มลงหรือยัง น้ำตาเราน้อยลงกว่าเดิมไหม นั่นแหละ...ผลของการอยู่กับกรรมอย่างมีสติ

ไม่ต้องแข็งแรงที่สุด แค่ไม่ล้มคว่ำต่อหน้ากรรม...ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว


ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการไม่ยอมแพ้

ฉันเคยคิดว่า ปาฏิหาริย์ คือเรื่องที่เกิดกับคนอื่น
คืออะไรที่เหนือธรรมชาติ หรูหรา เหลือเชื่อ
แต่ในวันที่ล้มจนไม่เหลือแรงจะร้องไห้
ถึงได้รู้ว่า…
การยังหายใจอยู่ในวันที่ไม่อยากมีชีวิตต่อ
ก็เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว
เพราะความจริงคือ
ปาฏิหาริย์...ไม่ใช่แสงวาบลงมาจากฟ้า
แต่มันคือ แสงเล็ก ๆ ในใจ ที่ยังไม่ดับไป
แม้จะมีพายุเข้า แม้จะมืดไปหมด
ฉันเห็นคนหลายคนที่ลุกขึ้นมาได้
ไม่ใช่เพราะเขาเก่งกว่าเรา ไม่ใช่เพราะเขาโชคดีกว่า
แต่เพราะเขา ไม่ยอมแพ้
แม้จะไม่มีใครให้กำลังใจ
แม้จะต้องอยู่คนเดียวในห้องที่เงียบและหนาวเย็น
ฉันเคยผ่านจุดที่คิดว่า ชีวิตฉันไม่น่าจะดีขึ้นอีกแล้ว
แต่พอเวลาผ่านไปพอสมควร กลับได้เจอเรื่องที่ทำให้ใจฉันอุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
บางครั้งมันมาในรูปของเสียงหัวเราะจากเพื่อน
บางครั้งก็มาในรูปของคำพูดง่าย ๆ จากคนแปลกหน้า
สิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้น กลายเป็นแรงผลักให้ฉันอยู่ต่อ และ เริ่มใหม่
ไม่ใช่เพราะชีวิตจะดีขึ้นทันที
แต่เพราะฉันรู้แล้วว่า...
การอยู่ต่อ คือการให้โอกาสตัวเองเห็นปาฏิหาริย์
หากคุณกำลังอยู่ในจุดที่เจ็บ
จำไว้นะว่า…
เราไม่จำเป็นต้องรีบหายดี
ไม่ต้องรีบยิ้ม
แค่ค่อย ๆ หายใจ
ค่อย ๆ ลุก
ค่อย ๆ ยอมรับว่า...
ฉันอ่อนแอได้ แต่ฉันไม่ยอมแพ้
เพราะบางครั้ง
ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนโลกได้
แต่คือสิ่งที่ทำให้เรา...ไม่ยอมตาย

ในวันที่ไม่มีปาฏิหาริย์ การไม่ยอมแพ้...คือปาฏิหาริย์ที่สุดแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่