ลูกชายเป็นสมาธิสั้น(ADHD): ใช้บัตรทองรักษาลดค่าใช้จ่ายครอบครัวมหาศาล!(พร้อม How-to ขั้นตอนและข้อควรรู้สำคัญโดยละเอียด

สวัสดีครับทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงที่มีประโยชน์อย่างยิ่งเกี่ยวกับการใช้สิทธิบัตรทองในการรักษาลูกชายที่เป็นสมาธิสั้น (ADHD) (รักษา 7 ขวบ ปัจจุบัน 8 ขวบ) ครับ เผื่อจะเป็นแนวทางและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายครอบครัวสำหรับครอบครัวอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกัน เพราะยาสำหรับโรคสมาธิสั้นอย่าง Ritalin นั้น ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อได้ง่าย ๆ นะครับ และถ้าต้องซื้อเองนี่ค่าใช้จ่ายไม่ใช่เล่น ๆ เลยครับ กระทบรายได้ครอบครัวพอสมควรเลย



ทำความเข้าใจ: ทำไมเด็กสมาธิสั้น (ADHD) ถึงจำเป็นต้องได้รับการรักษา?
ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการใช้สิทธิ ผมอยากอธิบายก่อนว่าทำไมการรักษาโรคสมาธิสั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็ก ซึ่งหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบถึงความจำเป็นนี้ครับ

- ผลกระทบต่อพฤติกรรม: เด็กสมาธิสั้นมักมีปัญหาเรื่องการควบคุมตัวเอง เช่น ขาดสมาธิ, ซุกซนอยู่ไม่นิ่ง, หุนหันพลันแล่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้และการปรับตัวในสังคม
- พัฒนาการและการเรียนรู้: การรักษาด้วยยาที่เหมาะสมร่วมกับการปรับพฤติกรรม จะช่วยให้เด็กมีสมาธิมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาสามารถจดจ่อกับการเรียนรู้ได้ดีขึ้น เข้าใจบทเรียนได้เร็วขึ้น และพัฒนาทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ
- คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น: เมื่อเด็กมีสมาธิและควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น จะช่วยลดความขัดแย้งกับผู้อื่น สร้างความมั่นใจให้ตัวเด็ก และทำให้คุณภาพชีวิตทั้งของเด็กและครอบครัวดีขึ้นตามไปด้วยครับ

แนวทางการใช้สิทธิบัตรทองรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) ที่โรงพยาบาลรัฐ (How-to ขั้นตอนอย่างละเอียด)
การรักษาลูกสมาธิสั้นด้วยบัตรทองในโรงพยาบาลรัฐ อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ผมยืนยันว่าคุ้มค่ามากครับ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายยา ซึ่งยาอย่าง Ritalin นั้นเป็นยาควบคุมพิเศษ ไม่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ไม่ใช่มีเงินแล้วจะซื้อได้ง่าย ๆ ต้องได้รับการวินิจฉัยและสั่งจ่ายโดยจิตแพทย์เด็กเท่านั้น และต้องผ่านระบบของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด

1. เริ่มต้นที่คลินิกหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านที่ได้รับสิทธิ์บัตรทอง (หน่วยบริการปฐมภูมิ):
- ขั้นตอนแรก: เราต้องไปทำเรื่องที่คลินิกหรือโรงพยาบาลปฐมภูมิที่ได้สิทธิ์บัตรทองใกล้บ้านเราก่อนครับ
- สิ่งที่ต้องทำ: แจ้งความประสงค์และเล่าอาการของลูกให้แพทย์ประจำตัวทราบอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์พิจารณาและทำเรื่องส่งตัวต่อ
2. ทำเรื่องส่งตัวไปโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ (หน่วยบริการทุติยภูมิ):
- เมื่อได้ใบส่งตัว: โรงพยาบาลแรกจะทำเรื่องส่งตัวเราต่อไปยังโรงพยาบาลที่รับการส่งต่อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ที่มีแผนกจิตเวช หรือจิตแพทย์
3. โรงพยาบาลส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง (โรงพยาบาลเด็ก/จิตเวชเด็ก):
- การส่งต่อเฉพาะทาง: จากโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ ลูกชายผมถูกส่งตัวต่อไปยังสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่นโดยตรงครับ (ในบางกรณีอาจเป็นโรงพยาบาลจิตเวชเลย)
4. ระยะเวลาการรอพบหมอเฉพาะทาง (สำคัญมาก!):
- การรอคิว: ขั้นตอนนี้อาจจะใช้เวลาไม่แน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับคิวและความหนาแน่นของผู้ป่วยในแต่ละโรงพยาบาล
- ประสบการณ์ส่วนตัว: สำหรับลูกชายผมใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนถึงจะได้พบคุณหมอจิตแพทย์เด็กผู้เชี่ยวชาญครับ ถือเป็นการรอคิวที่ต้องอาศัยความอดทนพอสมควร แต่คุ้มค่าแน่นอน
5. การวินิจฉัยและการรับยา Ritalin หรือยาสำหรับ ADHD:
- การประเมิน: เมื่อได้พบคุณหมอจิตแพทย์เด็กแล้ว คุณหมอจะทำการประเมัยอาการอย่างละเอียด วินิจฉัย และยืนยันว่าเป็นสมาธิสั้น (ADHD)
- การสั่งจ่ายยา: เคสลูกชายผมได้รับยา Ritalin ครับ คุณหมอจะพิจารณาขนาดยาที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นลูกชายผมทาน 1 เม็ดเช้า และ 1 เม็ดเที่ยง ปัจจุบันปรับโดสเป็น 1 เม็ดครึ่งครับ

ข้อดีและข้อแลกเปลี่ยนของการใช้บัตรทอง (สรุปครบ!)

- ลดค่าใช้จ่ายครอบครัวมหาศาล: การใช้สิทธิบัตรทองช่วยลดค่าใช้จ่ายครอบครัวได้อย่างมหาศาลเลยครับ เพราะราคาของยา Ritalin หรือยาอื่นๆ สำหรับสมาธิสั้นนั้นสูงมาก และอย่างที่กล่าวไปคือ ยา Ritalin ไม่ใช่มีเงินแล้วจะซื้อได้ง่าย ๆ หากไม่มีใบสั่งแพทย์ การที่ได้รับสิทธิ์รักษาตรงนี้ช่วยแบ่งเบาภาระไปได้เยอะมาก ๆ ครับ ทำให้เราสามารถดูแลลูกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายยาที่แพงลิบลิ่ว
- ครอบคลุมการบำบัดพัฒนาการ: นอกจากยาแล้ว การดูแลเด็กสมาธิสั้นยังรวมถึงการปรับพัฒนาการโดยครูผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็ก ซึ่งหากไม่มีบัตรทอง ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอาจอยู่ที่ประมาณ 300 บาท (หรือมากกว่า) แต่เมื่อใช้สิทธิบัตรทอง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็จะถูกลดภาระลงไปอย่างมากเช่นกันครับ
- การแลกมาด้วยเวลา: แน่นอนว่ามันต้องแลกมาด้วยเวลาครับ โดยเฉพาะในขั้นตอนแรกของการดำเนินเรื่องและการรอคิวพบหมอในแต่ละครั้ง เพราะคุณหมอจะนัดติดตามผลทุก 3 เดือน ซึ่งก็ต้องเสียเวลาในการเดินทางและรอคิวที่โรงพยาบาลเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ ทั้งการเข้าถึงยาที่จำเป็นและการลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว ถือว่าคุ้มค่ามากครับ

ระยะเวลาการรักษาและคำแนะนำสำหรับคนที่มีลูกเป็นสมาธิสั้น
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่มีลูกเป็นสมาธิสั้น และกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา หรือการเข้าถึงยาและการบำบัด ผมแนะนำให้ลองพิจารณาใช้สิทธิบัตรทองในการรักษาดูนะครับ แม้จะต้องใช้เวลาและอาจมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินเรื่องบ้างในตอนแรก แต่ในระยะยาวแล้วถือว่าคุ้มค่ามากครับ เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาและการบำบัดพัฒนาการได้อย่างมหาศาล และทำให้ลูกได้รับการดูแลที่จำเป็นได้อย่างต่อเนื่อง

ระยะเวลาการใช้ยา Ritalin และการดูแลต่อเนื่อง:
การใช้ยาสำหรับเด็กสมาธิสั้นมักจะต่อเนื่องหลายปี จนกว่าสมองจะมีการพัฒนาและปรับตัวได้ดีขึ้น รวมถึงเมื่อลูกโตขึ้นและเริ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้น ความสามารถในการควบคุมอาการด้วยตนเองก็ดีขึ้นครับ

สำคัญ: การตัดสินใจหยุดยาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์เด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความพร้อมของเด็กและความสามารถในการควบคุมอาการด้วยตนเอง ไม่ควรหยุดยาเองเด็ดขาด

บทสรุป: ก้าวไปด้วยกันกับลูก
ท้ายที่สุดแล้ว การเดินทางนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษาโรคสมาธิสั้น แต่เป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญของทั้งครอบครัวครับ ผมและลูกเองก็ได้เรียนรู้และปรับตัวไปด้วยกันในทุกๆ วัน ในฐานะผู้ปกครอง การที่เราได้เห็นลูกค่อยๆ เติบโต มีสมาธิดีขึ้น มีพฤติกรรมที่เหมาะสมขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข นั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุด และเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้รับกลับคืนมาอย่างประเมินค่าไม่ได้ครับ

นี่คือแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้จริง และช่วยให้ลูกได้รับการรักษาที่จำเป็นเพื่อพัฒนาการที่ดีที่สุดครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่