แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” หรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน มีลักษณะและเป้าหมายที่แตกต่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอย่างชัดเจนในหลายด้าน โดยสามารถเปรียบเทียบเชิงแนวคิดได้ดังนี้:
ในขณะที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics) ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยวัดจากตัวชี้วัดเชิงมหภาค เช่น GDP, อัตราการส่งออก หรือประสิทธิภาพของตลาด กลไกการผลิต และการบริโภคโดยใช้ราคาตลาดเป็นตัวชี้นำ แนวคิดสุขวิชโนมิกส์กลับยืนอยู่บนฐานคิดที่ว่า “คุณภาพชีวิตของประชาชน” ต้องมาก่อน และการพัฒนาใด ๆ ควรเริ่มต้นจากประชาชน ไม่ใช่จากตัวเลขเศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักมองบทบาทของรัฐในเชิงควบคุม ไม่แทรกแซงกลไกตลาดมากเกินไป เพื่อให้เกิด “ประสิทธิภาพสูงสุด” โดยเชื่อว่าตลาดสามารถจัดสรรทรัพยากรได้ดีที่สุด แต่สุขวิชโนมิกส์กลับเห็นว่า “รัฐต้องมีบทบาทเชิงรุก” ในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะเพื่อประโยชน์ของผู้ด้อยโอกาสและประชาชนระดับฐานราก เช่น การพักหนี้เกษตรกร การศึกษาฟรี และการเข้าถึงบริการสุขภาพ
นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทุนและเทคโนโลยี โดยมองแรงงานเป็นหนึ่งในปัจจัยการผลิต แต่สุขวิชโนมิกส์เน้นการพัฒนาคนเป็นสำคัญ มองประชาชนไม่ใช่เพียงแรงงาน แต่เป็น “ทุนมนุษย์” ที่ต้องได้รับการลงทุนด้วยการศึกษา การฝึกทักษะ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้สามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจากฐานราก
สุดท้าย ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักวางเป้าหมายไว้ที่ความมั่งคั่งรวมของประเทศ โดยมีความหวังว่าความมั่งคั่งจะ “ไหลลง” ไปสู่คนในระดับล่าง (trickle-down economics) แต่สุขวิชโนมิกส์กลับวางเป้าหมายที่ “ความอยู่ดีกินดีของทุกคนอย่างเท่าเทียม” โดยมองว่าการพัฒนาใดที่ไม่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมไม่ใช่การพัฒนาที่แท้จริง
ดังนั้น สุขวิชโนมิกส์จึงเป็นแนวทางเศรษฐศาสตร์ที่ตั้งคำถามต่อกระแสหลัก และเสนอคำตอบใหม่ที่เน้นคุณค่า ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตเพียงบนกระดาษ.
สุขวิชโนมิกส์: เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชนในบริบทวิกฤตของรัฐไทย
แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” หรือ “เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน” พล มิได้เกิดขึ้นในภาวะปรกติของรัฐ หากแต่เป็นผลผลิตจากการเผชิญหน้าและตอบสนองต่อ วิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อย่างเข้มข้นระหว่าง พ.ศ. 2534–2540 ซึ่งสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ดังนี้:
พ.ศ. 2534: รัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ส่งผลให้รัฐธรรมนูญ 2534 รับรองสิทธิการศึกษาเพียง 6 ปี
พ.ศ. 2535: เกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
พ.ศ. 2535–2539: ประเทศเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง มีการเลือกตั้งถึง 4 ครั้งใน 4 ปี
พ.ศ. 2540: ประเทศไทยเข้าสู่ วิกฤตเศรษฐกิจแห่งเอเชีย (วิกฤตต้มยำกุ้ง)
ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนนี้ แนวคิด “การพัฒนาที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ได้กลายเป็นเข็มทิศของนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในการ อภิวัฒน์การศึกษา 2538 ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย:
ปรับปรุงโรงเรียน 29,845 แห่ง
ปรับปรุงอาคารเรียน 38,112 หลัง
ซ่อมแซมอาคารอเนกประสงค์ 12,227 หลัง
ซ่อมแซม ห้องน้ำรวม ให้ถูกสุขลักษณะ 11,257 หลัง
ขยายจำนวนเด็กในระบบการศึกษาอายุ 3–17 ปี จาก 12.33 ล้านคน เป็น 16.68 ล้านคน โดยเพิ่มจากกลุ่มครอบครัวยากจน 4.35 ล้านคน
การดำเนินนโยบายนี้นำมาซึ่ง โครงสร้างบริการพื้นฐานที่เท่าเทียมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
อาหารกลางวัน
เครื่องแบบครบครัน
รถโรงเรียนหรือค่าเดินทาง
อุปกรณ์การเรียนครบครแบบ
โดย…จัดให้
❛ ฟรีจริง ❜ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
ประชาชน โดยเฉพาะผู้ปกครองจากครอบครัวยากจนที่ได้รับผลจากนโยบายนี้ ได้กลายเป็น “ฐานพลัง” ที่ลุกขึ้นมา รณรงค์และมีส่วนร่วมในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ. 2540 ซึ่งมีสาระสำคัญด้านการศึกษาที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ได้แก่:
มาตรา 43: สิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี
มาตรา 80: สิทธิการศึกษาปฐมวัยเพิ่มเติม 3 ปี
รวมเป็น สิทธิเรียนฟรี 15 ปี อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และถ้วนหน้า ทุกคน เท่าเทียม รวมถึงสิทธิสาธารณสุข ถ้วนหน้า มาตรา 52 สิทธิ การเอาผิเจ้สาหน้าที่รัฐ สิทธิต่างๆเพื่อให้ชัวิดมั่นคง และยุติธรรม ตามแนวทาง สุขวิชโนมิกส์
รัฐธรรมนูญ 2540 นี้มิใช่ผลโดยตรงจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 อย่างที่มักเข้าใจกันผิด หากแต่เป็นผลจาก พลังความร่วมมือของประชาชน ที่ต้องการเห็นการพัฒนาอย่างเท่าเทียม ผ่านแนวคิดสุขวิชโนมิกส์ ที่เน้น “การจัดสรรงบประมาณเพื่อยกระดับมนุษย์” มิใช่เพียงเศรษฐกิจแบบตัวเลข
หลักแห่งเสถียรภาพของชาติ 4 ประการ
การศึกษา
สุขภาพ
ความมั่นคง
ความยุติธรรม
สุขวิชโนมิกซ์เน้นว่าสิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาในเชิงโครงสร้าง เช่น การดูแลสุขภาพที่ดีไม่ใช่เพียงแค่โรงพยาบาลหรือหมอ แต่รวมถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัยโดยเฉพาะในโรงเรียนชนบท
เอกสารอ้างอิง
Rangsitpol, S. (1997, February 26–28). Statement by H.E. Mr. Sukavich Rangsitpol, Minister of Education of Thailand, at the SEAMEC Conference in Manila. SEAMEO. Retrieved from: SEAMEO Archive (Wayback)
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน
ในขณะที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics) ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยวัดจากตัวชี้วัดเชิงมหภาค เช่น GDP, อัตราการส่งออก หรือประสิทธิภาพของตลาด กลไกการผลิต และการบริโภคโดยใช้ราคาตลาดเป็นตัวชี้นำ แนวคิดสุขวิชโนมิกส์กลับยืนอยู่บนฐานคิดที่ว่า “คุณภาพชีวิตของประชาชน” ต้องมาก่อน และการพัฒนาใด ๆ ควรเริ่มต้นจากประชาชน ไม่ใช่จากตัวเลขเศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักมองบทบาทของรัฐในเชิงควบคุม ไม่แทรกแซงกลไกตลาดมากเกินไป เพื่อให้เกิด “ประสิทธิภาพสูงสุด” โดยเชื่อว่าตลาดสามารถจัดสรรทรัพยากรได้ดีที่สุด แต่สุขวิชโนมิกส์กลับเห็นว่า “รัฐต้องมีบทบาทเชิงรุก” ในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะเพื่อประโยชน์ของผู้ด้อยโอกาสและประชาชนระดับฐานราก เช่น การพักหนี้เกษตรกร การศึกษาฟรี และการเข้าถึงบริการสุขภาพ
นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทุนและเทคโนโลยี โดยมองแรงงานเป็นหนึ่งในปัจจัยการผลิต แต่สุขวิชโนมิกส์เน้นการพัฒนาคนเป็นสำคัญ มองประชาชนไม่ใช่เพียงแรงงาน แต่เป็น “ทุนมนุษย์” ที่ต้องได้รับการลงทุนด้วยการศึกษา การฝึกทักษะ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้สามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจากฐานราก
สุดท้าย ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักวางเป้าหมายไว้ที่ความมั่งคั่งรวมของประเทศ โดยมีความหวังว่าความมั่งคั่งจะ “ไหลลง” ไปสู่คนในระดับล่าง (trickle-down economics) แต่สุขวิชโนมิกส์กลับวางเป้าหมายที่ “ความอยู่ดีกินดีของทุกคนอย่างเท่าเทียม” โดยมองว่าการพัฒนาใดที่ไม่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมไม่ใช่การพัฒนาที่แท้จริง
ดังนั้น สุขวิชโนมิกส์จึงเป็นแนวทางเศรษฐศาสตร์ที่ตั้งคำถามต่อกระแสหลัก และเสนอคำตอบใหม่ที่เน้นคุณค่า ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตเพียงบนกระดาษ.
สุขวิชโนมิกส์: เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชนในบริบทวิกฤตของรัฐไทย
แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” หรือ “เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน” พล มิได้เกิดขึ้นในภาวะปรกติของรัฐ หากแต่เป็นผลผลิตจากการเผชิญหน้าและตอบสนองต่อ วิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อย่างเข้มข้นระหว่าง พ.ศ. 2534–2540 ซึ่งสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ดังนี้:
พ.ศ. 2534: รัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ส่งผลให้รัฐธรรมนูญ 2534 รับรองสิทธิการศึกษาเพียง 6 ปี
พ.ศ. 2535: เกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
พ.ศ. 2535–2539: ประเทศเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง มีการเลือกตั้งถึง 4 ครั้งใน 4 ปี
พ.ศ. 2540: ประเทศไทยเข้าสู่ วิกฤตเศรษฐกิจแห่งเอเชีย (วิกฤตต้มยำกุ้ง)
ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนนี้ แนวคิด “การพัฒนาที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ได้กลายเป็นเข็มทิศของนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในการ อภิวัฒน์การศึกษา 2538 ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย:
ปรับปรุงโรงเรียน 29,845 แห่ง
ปรับปรุงอาคารเรียน 38,112 หลัง
ซ่อมแซมอาคารอเนกประสงค์ 12,227 หลัง
ซ่อมแซม ห้องน้ำรวม ให้ถูกสุขลักษณะ 11,257 หลัง
ขยายจำนวนเด็กในระบบการศึกษาอายุ 3–17 ปี จาก 12.33 ล้านคน เป็น 16.68 ล้านคน โดยเพิ่มจากกลุ่มครอบครัวยากจน 4.35 ล้านคน
การดำเนินนโยบายนี้นำมาซึ่ง โครงสร้างบริการพื้นฐานที่เท่าเทียมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
อาหารกลางวัน
เครื่องแบบครบครัน
รถโรงเรียนหรือค่าเดินทาง
อุปกรณ์การเรียนครบครแบบ
โดย…จัดให้
❛ ฟรีจริง ❜ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
ประชาชน โดยเฉพาะผู้ปกครองจากครอบครัวยากจนที่ได้รับผลจากนโยบายนี้ ได้กลายเป็น “ฐานพลัง” ที่ลุกขึ้นมา รณรงค์และมีส่วนร่วมในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ. 2540 ซึ่งมีสาระสำคัญด้านการศึกษาที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ได้แก่:
มาตรา 43: สิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี
มาตรา 80: สิทธิการศึกษาปฐมวัยเพิ่มเติม 3 ปี
รวมเป็น สิทธิเรียนฟรี 15 ปี อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และถ้วนหน้า ทุกคน เท่าเทียม รวมถึงสิทธิสาธารณสุข ถ้วนหน้า มาตรา 52 สิทธิ การเอาผิเจ้สาหน้าที่รัฐ สิทธิต่างๆเพื่อให้ชัวิดมั่นคง และยุติธรรม ตามแนวทาง สุขวิชโนมิกส์
รัฐธรรมนูญ 2540 นี้มิใช่ผลโดยตรงจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 อย่างที่มักเข้าใจกันผิด หากแต่เป็นผลจาก พลังความร่วมมือของประชาชน ที่ต้องการเห็นการพัฒนาอย่างเท่าเทียม ผ่านแนวคิดสุขวิชโนมิกส์ ที่เน้น “การจัดสรรงบประมาณเพื่อยกระดับมนุษย์” มิใช่เพียงเศรษฐกิจแบบตัวเลข
หลักแห่งเสถียรภาพของชาติ 4 ประการ
การศึกษา
สุขภาพ
ความมั่นคง
ความยุติธรรม
สุขวิชโนมิกซ์เน้นว่าสิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาในเชิงโครงสร้าง เช่น การดูแลสุขภาพที่ดีไม่ใช่เพียงแค่โรงพยาบาลหรือหมอ แต่รวมถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัยโดยเฉพาะในโรงเรียนชนบท
เอกสารอ้างอิง
Rangsitpol, S. (1997, February 26–28). Statement by H.E. Mr. Sukavich Rangsitpol, Minister of Education of Thailand, at the SEAMEC Conference in Manila. SEAMEO. Retrieved from: SEAMEO Archive (Wayback)