ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้เปิดเผยว่า พวกเขาได้ตรวจจับสัญญาณของแก๊สที่บ่งบอกว่าอาจจะมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ จากดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างจากเราไป 120 ปีแสง จนกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้างในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าในตอนนี้ข่าวการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้กลับเงียบหายไปเสียดื้อ ๆ จนหลายคนอาจสงสัยว่าสรุปแล้วเราเจอเอเลี่ยนจริง ๆ หรือไม่กันแน่?
.
หากตอบแบบสั้น ๆ ก็คือ เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าแก๊สดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตจริง ๆ
.
แต่ถ้าตอบแบบยาว ๆ แล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าเรื่องนี้นั้นมีความซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก และเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งนี้ให้มากขึ้น เราต้องไปทำความรู้จักกับแก๊สที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เจอบนดาวเคราะห์ K2-18b เสียก่อน ซึ่งแก๊สนั้นมีชื่อว่า 'เดเมทิลซัลไฟด์' (Dimethyl Sulfide) เป็นแก๊สที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าเกิดได้จากสิ่งมีชีวิตจำพวกแพลงตอนพืชในทะเลเท่านั้น
.
โดยแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์นั้นถือว่าเป็นของเสียจากกระบวนการที่แพลงตอนพืชทำลายพันธะโมเลกุลอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า 'ไดเมทิลซัลโฟไนโอโพรพิโอเนต' (Dimethylsulfoniopropionate) หรือ DMSP ซึ่งปกติแล้วแพลงตอนพืชจะใช้สารนี้รักษาสมดุลของเกลือภายในเซลล์ แต่เมื่อมันเผชิญกับความเครียดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับความเค็มของน้ำทะเล หรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนไป จนถึงการที่เซลล์แก่ตัวลงตามธรรมชาติ มันก็จะทำลายสาร DMSP เพื่อสร้างสารอะคริเลต (Acrylate) ที่ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์และป้องกันนักล่าอย่างแพลงตอนสัตว์ขึ้นมา ส่วนเดเมทิลซัลไฟด์ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการนี้นั้นก็จะลอยออกจากน้ำทะเลขึ้นสู่อากาศไป กลายเป็นที่มาของกลิ่นทะเลที่เราคุ้นเคย
.
ตามปกติแล้วในชั้นบรรยากาศโลกของเราในบางพื้นที่อาจจะพบเดเมทิลซัลไฟด์อยู่ 1 โมเลกุลจากทุก ๆ 1,000 ล้านโมเลกุล ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับออกซิเจนที่เราพบได้มากกว่า 210 ล้านโมเลกุล จากทุก ๆ 1,000 ล้านโมเลกุล แต่สำหรับดาวเคราะห์ K2-18b แล้ว กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ ซึ่งเป็นกล้องที่ตรวจพบสัญญาณแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์บนดาวดวงนี้นั้นยังสามารถวัดปริมาณของแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์ได้มากกว่า 1% ของแก๊สในชั้นบรรยากาศทั้งหมด หรือคิดเป็น 1 ล้านโมเลกุลจากทุก ๆ 1 พันล้านโมเลกุล มากกว่าเดเมทิลซัลไฟด์บนโลกถึง 1 ล้านเท่า
.
🟠 ดาว K2-18b มีหน้าตาแบบไหน?
.
จากการศึกษามวลและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ K2-18b อย่างละเอียด ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถสรุปออกมาได้ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะห์ที่มีมวลประมาณ 8.5 เท่าของโลก และใหญ่กว่าประมาณ 2.6 เท่า โดยมีแนวโน้มสูงว่าพื้นผิวทั้งหมดจะถูกปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรลึกหลายพันกิโลเมตร ในขณะที่ชั้นบรรยากาศนั้นประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนเป็นหลัก
.
ด้วยลักษณะพิเศษเช่นนี้นักดาราศาสตร์จึงจัดให้ดาว K2-18b อยู่ในประเภทดาวที่มีชื่อว่า ดาวไฮเชียน หรือ Hycean ซึ่งมาจากคำว่า Hydrogen + Ocean เพื่อสื่อถึงลักษณะเด่นของดาวที่มีทั้งมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยไฮโดรเจน และนอกจากนี้ ดาว K2-18b ยังโคจรรอบดาวฤกษ์ของมันในระยะที่ใกล้มาก ๆ ประมาณ 23 ล้านกิโลเมตร เทียบกับโลกที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร
.
แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าดาว K2-18b จะมีอุณหภูมิที่สูงเกินไปจนไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ เพราะดาวฤกษ์แม่ของดาว K2-18b นั้นเป็นดาวฤกษ์ประเภทแคระแดงที่ส่องแสงสลัวและให้พลังงานน้อยกว่าดวงอาทิตย์ของเรามาก อย่างไรก็ตาม การที่ดาว K2-18b อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ขนาดนี้นั้นใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะยิ่งดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากเท่าไหร่ ดาวเคราะห์ก็จะมีโอกาสถูกล็อกการหมุนรอบตัวเอง ให้ด้าน ๆ เดียวของดาวเคราะห์หันหน้าเข้าหาดาวฤกษ์ตลอดกาล คล้ายกับดวงจันทร์ที่หันหน้าด้านเดียวเข้าหาโลกในทุก ๆ คืนผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 'ไทดัลล็อก' (Tidal Locked)
.
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มหาสมุทรด้านหนึ่งของดาว K2-18b ก็จะหันหน้ารับแสงแดดตลอดเวลา ในขณะที่อีกฝั่งตกอยู่ในค่ำคืนมืดมิดไปตลอดกาล จึงมีความเป็นไปได้ว่าในส่วนของมหาสมุทรฟากกลางวันนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเกาะกลุ่มกันลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำเพื่อผลิตอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ไม่วันหมดมายาวนานหลายร้อยล้านปี จนสร้างแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์ในปริมาณมากกว่า 1% จนชาวโลกที่อยู่ห่างไป 124 แสงสามารถสังเกตเห็นร่องรอยแก๊สนี้ก็ได้
.
ในขณะที่ความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนกว่าเซลล์เดียวนั้นอาจแทบไม่มีหรือเป็นไปไม่ได้สักเท่าไหร่ ตามองค์ความรู้ทางดาราศาสตร์ที่เรามีในปัจจุบัน เพราะเราไม่สามารถตรวจพบแก๊สออกซิเจนในชั้นบรรยากาศของดาว K2-18b ได้เลย เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนบนโลกนั้นต่างใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจและช่วยสะสมพลังงานไว้ภายในร่างกายทั้งสิ้น
.
มิหนำซ้ำเรายังไม่รู้ด้วยว่า ความดันบรรยากาศบนดาว K2-18b จะมีปริมาณเท่าใดกันแน่ ถ้าหากดาวดวงนี้มีความดันเยอะเกินไป ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณแก๊สไฮโดรเจนที่เราตรวจนั้นมีสัดส่วนที่เยอะคล้ายกับดาวเคราะห์แก๊ส ก็อาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากผิวน้ำ รวมถึงมนุษย์ที่ไปสำรวจในอนาคตโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอาจถูกอากาศที่หนาแน่นของดาวบดขยี้ลงไปได้ ไม่ต่างอะไรจากการบีบกระป๋องน้ำอัดลม อีกทั้งเมื่ออากาศยิ่งมีความหนาแน่นสูง อากาศก็จะกักเก็บความร้อนได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย จนอาจกล่าวได้ว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ดาวเคราะห์ K2-18b อาจเป็นเพียงแค่ดาวมหาสมุทรร้อน ๆ เหมือนกับอยู่ในห้องซาวน่าตลอดเวลา ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตในรูปแบบที่เรารู้จักอุบัติขึ้นมาได้ในสภาพแวดล้อมนี้
.
เป็นที่แน่นอนว่าการค้นพบดังกล่าวทำให้นักดาราศาสตร์เสียงแตกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายแรกกล่าวว่าดาวเคราะห์ K2-18b นั้นมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยน้ำมากพอที่จะสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ปลดปล่อยเดเมทิลซัลไฟด์ในปริมาณมหาศาลออกมาได้ แม้ว่าดาวดวงนั้นอาจจะมีอุณหภูมิและความดันเฉลี่ยที่สูงกว่าบนโลกก็ตาม
.
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งกลับมองว่าไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถปล่อยแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์ขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศได้มากขนาดนั้น เดเมทิลซัลไฟด์ที่พบจึงอาจมีต้นตอมาจากกระบวนการทางธรรมชาติที่มนุษย์คาดไม่ถึงมากกว่าที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งเราก็คงจะสรุปเรื่องนี้ไม่ได้จนกว่ามนุษย์จะเดินทางหรือส่งหุ่นยนต์สำรวจไปยังดาว K2-18b ในอนาคตจริง ๆ
.
ไม่ว่าดาว K2-18b จะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาหรือไม่ การค้นพบนี้ก็ถือเป็นก้าวแรกสำคัญที่เราจะได้เรียนรู้ว่ามนุษย์นั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลจริง ๆ หรือไม่ ถ้าหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าดาว K2-18b มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ไม่ซับซ้อนก็ตาม ก็จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของมนุษย์ต่อจักรวาลไปตลอดกาล

.
เรื่อง : ชินะพงษ์ เลี่ยนพานิช (นิก The Principia)
ภาพ : มณฑล ชลสุข
ติดตาม SUM UP บนช่องทางต่าง ๆ
https://linktr.ee/sumup.th
อ่านทุกเรื่องบนเว็บไซต์
https://www.sumupth.com/
เราได้ค้นพบเอเลี่ยนจริง ๆ แล้วหรือยัง ? เจาะลึกกรณีข่าวค้นพบสัญญาณของสิ่งมีชีวิต จากดาวเคราะห์ K2-12b
.
หากตอบแบบสั้น ๆ ก็คือ เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าแก๊สดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตจริง ๆ
.
แต่ถ้าตอบแบบยาว ๆ แล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าเรื่องนี้นั้นมีความซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก และเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งนี้ให้มากขึ้น เราต้องไปทำความรู้จักกับแก๊สที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เจอบนดาวเคราะห์ K2-18b เสียก่อน ซึ่งแก๊สนั้นมีชื่อว่า 'เดเมทิลซัลไฟด์' (Dimethyl Sulfide) เป็นแก๊สที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าเกิดได้จากสิ่งมีชีวิตจำพวกแพลงตอนพืชในทะเลเท่านั้น
.
โดยแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์นั้นถือว่าเป็นของเสียจากกระบวนการที่แพลงตอนพืชทำลายพันธะโมเลกุลอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า 'ไดเมทิลซัลโฟไนโอโพรพิโอเนต' (Dimethylsulfoniopropionate) หรือ DMSP ซึ่งปกติแล้วแพลงตอนพืชจะใช้สารนี้รักษาสมดุลของเกลือภายในเซลล์ แต่เมื่อมันเผชิญกับความเครียดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับความเค็มของน้ำทะเล หรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนไป จนถึงการที่เซลล์แก่ตัวลงตามธรรมชาติ มันก็จะทำลายสาร DMSP เพื่อสร้างสารอะคริเลต (Acrylate) ที่ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์และป้องกันนักล่าอย่างแพลงตอนสัตว์ขึ้นมา ส่วนเดเมทิลซัลไฟด์ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการนี้นั้นก็จะลอยออกจากน้ำทะเลขึ้นสู่อากาศไป กลายเป็นที่มาของกลิ่นทะเลที่เราคุ้นเคย
.
ตามปกติแล้วในชั้นบรรยากาศโลกของเราในบางพื้นที่อาจจะพบเดเมทิลซัลไฟด์อยู่ 1 โมเลกุลจากทุก ๆ 1,000 ล้านโมเลกุล ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับออกซิเจนที่เราพบได้มากกว่า 210 ล้านโมเลกุล จากทุก ๆ 1,000 ล้านโมเลกุล แต่สำหรับดาวเคราะห์ K2-18b แล้ว กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ ซึ่งเป็นกล้องที่ตรวจพบสัญญาณแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์บนดาวดวงนี้นั้นยังสามารถวัดปริมาณของแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์ได้มากกว่า 1% ของแก๊สในชั้นบรรยากาศทั้งหมด หรือคิดเป็น 1 ล้านโมเลกุลจากทุก ๆ 1 พันล้านโมเลกุล มากกว่าเดเมทิลซัลไฟด์บนโลกถึง 1 ล้านเท่า
.
🟠 ดาว K2-18b มีหน้าตาแบบไหน?
.
จากการศึกษามวลและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ K2-18b อย่างละเอียด ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถสรุปออกมาได้ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะห์ที่มีมวลประมาณ 8.5 เท่าของโลก และใหญ่กว่าประมาณ 2.6 เท่า โดยมีแนวโน้มสูงว่าพื้นผิวทั้งหมดจะถูกปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรลึกหลายพันกิโลเมตร ในขณะที่ชั้นบรรยากาศนั้นประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนเป็นหลัก
.
ด้วยลักษณะพิเศษเช่นนี้นักดาราศาสตร์จึงจัดให้ดาว K2-18b อยู่ในประเภทดาวที่มีชื่อว่า ดาวไฮเชียน หรือ Hycean ซึ่งมาจากคำว่า Hydrogen + Ocean เพื่อสื่อถึงลักษณะเด่นของดาวที่มีทั้งมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยไฮโดรเจน และนอกจากนี้ ดาว K2-18b ยังโคจรรอบดาวฤกษ์ของมันในระยะที่ใกล้มาก ๆ ประมาณ 23 ล้านกิโลเมตร เทียบกับโลกที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร
.
แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าดาว K2-18b จะมีอุณหภูมิที่สูงเกินไปจนไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ เพราะดาวฤกษ์แม่ของดาว K2-18b นั้นเป็นดาวฤกษ์ประเภทแคระแดงที่ส่องแสงสลัวและให้พลังงานน้อยกว่าดวงอาทิตย์ของเรามาก อย่างไรก็ตาม การที่ดาว K2-18b อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ขนาดนี้นั้นใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะยิ่งดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากเท่าไหร่ ดาวเคราะห์ก็จะมีโอกาสถูกล็อกการหมุนรอบตัวเอง ให้ด้าน ๆ เดียวของดาวเคราะห์หันหน้าเข้าหาดาวฤกษ์ตลอดกาล คล้ายกับดวงจันทร์ที่หันหน้าด้านเดียวเข้าหาโลกในทุก ๆ คืนผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 'ไทดัลล็อก' (Tidal Locked)
.
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มหาสมุทรด้านหนึ่งของดาว K2-18b ก็จะหันหน้ารับแสงแดดตลอดเวลา ในขณะที่อีกฝั่งตกอยู่ในค่ำคืนมืดมิดไปตลอดกาล จึงมีความเป็นไปได้ว่าในส่วนของมหาสมุทรฟากกลางวันนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเกาะกลุ่มกันลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำเพื่อผลิตอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ไม่วันหมดมายาวนานหลายร้อยล้านปี จนสร้างแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์ในปริมาณมากกว่า 1% จนชาวโลกที่อยู่ห่างไป 124 แสงสามารถสังเกตเห็นร่องรอยแก๊สนี้ก็ได้
.
ในขณะที่ความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนกว่าเซลล์เดียวนั้นอาจแทบไม่มีหรือเป็นไปไม่ได้สักเท่าไหร่ ตามองค์ความรู้ทางดาราศาสตร์ที่เรามีในปัจจุบัน เพราะเราไม่สามารถตรวจพบแก๊สออกซิเจนในชั้นบรรยากาศของดาว K2-18b ได้เลย เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนบนโลกนั้นต่างใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจและช่วยสะสมพลังงานไว้ภายในร่างกายทั้งสิ้น
.
มิหนำซ้ำเรายังไม่รู้ด้วยว่า ความดันบรรยากาศบนดาว K2-18b จะมีปริมาณเท่าใดกันแน่ ถ้าหากดาวดวงนี้มีความดันเยอะเกินไป ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณแก๊สไฮโดรเจนที่เราตรวจนั้นมีสัดส่วนที่เยอะคล้ายกับดาวเคราะห์แก๊ส ก็อาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากผิวน้ำ รวมถึงมนุษย์ที่ไปสำรวจในอนาคตโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอาจถูกอากาศที่หนาแน่นของดาวบดขยี้ลงไปได้ ไม่ต่างอะไรจากการบีบกระป๋องน้ำอัดลม อีกทั้งเมื่ออากาศยิ่งมีความหนาแน่นสูง อากาศก็จะกักเก็บความร้อนได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย จนอาจกล่าวได้ว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ดาวเคราะห์ K2-18b อาจเป็นเพียงแค่ดาวมหาสมุทรร้อน ๆ เหมือนกับอยู่ในห้องซาวน่าตลอดเวลา ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตในรูปแบบที่เรารู้จักอุบัติขึ้นมาได้ในสภาพแวดล้อมนี้
.
เป็นที่แน่นอนว่าการค้นพบดังกล่าวทำให้นักดาราศาสตร์เสียงแตกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายแรกกล่าวว่าดาวเคราะห์ K2-18b นั้นมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยน้ำมากพอที่จะสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ปลดปล่อยเดเมทิลซัลไฟด์ในปริมาณมหาศาลออกมาได้ แม้ว่าดาวดวงนั้นอาจจะมีอุณหภูมิและความดันเฉลี่ยที่สูงกว่าบนโลกก็ตาม
.
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งกลับมองว่าไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถปล่อยแก๊สเดเมทิลซัลไฟด์ขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศได้มากขนาดนั้น เดเมทิลซัลไฟด์ที่พบจึงอาจมีต้นตอมาจากกระบวนการทางธรรมชาติที่มนุษย์คาดไม่ถึงมากกว่าที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งเราก็คงจะสรุปเรื่องนี้ไม่ได้จนกว่ามนุษย์จะเดินทางหรือส่งหุ่นยนต์สำรวจไปยังดาว K2-18b ในอนาคตจริง ๆ
.
ไม่ว่าดาว K2-18b จะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาหรือไม่ การค้นพบนี้ก็ถือเป็นก้าวแรกสำคัญที่เราจะได้เรียนรู้ว่ามนุษย์นั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลจริง ๆ หรือไม่ ถ้าหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าดาว K2-18b มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ไม่ซับซ้อนก็ตาม ก็จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของมนุษย์ต่อจักรวาลไปตลอดกาล
.
เรื่อง : ชินะพงษ์ เลี่ยนพานิช (นิก The Principia)
ภาพ : มณฑล ชลสุข
ติดตาม SUM UP บนช่องทางต่าง ๆ https://linktr.ee/sumup.th
อ่านทุกเรื่องบนเว็บไซต์ https://www.sumupth.com/