JJNY : 5in1 ณัฐพงษ์ติงไร้ทิศทาง│รังสิมันต์สะท้อนฝีเริ่มแตก│โรมแนะเร่งเจรจา│โรมเห็นด้วย แต่ควรเป็นนายก│เงินเฟ้อลาวลดลง

ณัฐพงษ์ ติงรัฐบาล จัดงบปี 69 ไร้ทิศทาง ไม่มีอะไรใหม่ หวั่นทำประเทศล้มเหลว
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9780509
.
.
“ณัฐพงษ์” ติงรัฐบาล จัดงบปี 69 ไร้ทิศทางไม่มีอะไรใหม่ หวั่นทำประเทศล้มเหลว ชี้ ความศรัทธาของประชาชนพังไปแล้ว
.
เมื่อเวลา 17.10 น. วันที่ 28 พ.ค. 2568 วันที่ 28 พ.ค.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก
.
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า นายกรัฐมนตรีใช้ตัวเลขประมาณการจีดีพีจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ช่วงเดือนก.พ. ที่ผ่านมา คือ ประมาณการว่าจีดีพีจะเติบโต 2.3 – 3.3%
.
เพราะถ้าใช้ตัวเลขของเดือน พ.ค. จะกระทบต่อประมาณการรายได้ของรัฐ และโครงสร้างงบประมาณทั้งหมด นายกฯ จึงจำเป็นต้องแถลงงบประมาณด้วยตัวเลขเก่า
.
สิ่งที่ตนคาดหวัง คือ อยากให้นายกฯ ปรับคำแถลงฉบับนี้ด้วยมือของท่านเอง ไม่ใช่ใช้ตัวเลขที่สำนักงบประมาณเขียนมาให้ ตนกำลังสงสัยว่า เพราะนายกฯ ไม่ปรับ งบเลยไม่เปลี่ยน คนไทยจึงต้องรับกรรมหรือไม่
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมงบปี 69 เป็นปีที่สองติดต่อกันที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งงบขาดดุลสูงจนเกือบชนเพดาน โดยกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย 3.78 ล้านล้านบาท แต่ตั้งประมาณการรายได้รัฐเพียง 2.92 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ต้องกู้ 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.5% ต่อจีดีพี
.
สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องการกู้ แต่รัฐบาลกำลังใช้เงินเกินตัวโดยไม่มีแผนการลงทุน และแผนการหารายได้มารองรับ มีแต่กู้ซ้ำๆ ไปลงกับโครงการเดิมๆ ที่ไม่ได้สร้างรายได้ ไม่ได้สร้างอนาคตให้ประเทศ ดังนั้น สถานการณ์ภาพรวมของประเทศขณะนี้ รัฐบาลจะต้องรู้จักการใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่แสวงหาอำนาจ เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป
.
ดังนั้น งบ 69 จึงเป็นกระจกสะท้อนชั้นดีว่า รัฐบาลกำลังจัดงบประมาณแบบไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้ภาพ ปล่อยให้การบริหารราชแผ่นดินสะเปะสะปะ เพราะใช้เวลาแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
.
สิ่งที่ตอกย้ำได้มากที่สุดอยู่ในงบกลางปี 68 ที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปลี่ยนงบดิจิทัลวอลเล็ตไปใช้กับการลงทุนระยะสั้น 1.57 แสนล้านบาท เป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไม่มีภาพอะไรในหัวเลย เพราะเป็นการโยนเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่ง ส่งคำของบประมาณเข้ามาภายใน 3 วัน
.
ทั้งหมดสะท้อนว่าเรากำลังมีรัฐบาลขาดเจตจำนงในการบริหารประเทศ พวกตนกล้าพูดได้ว่าการอภิปรายงบ 69 บทที่ใช้ในการอภิปราย คือข้อมูลจากงบปี 68 เพราะไส้ในงบ 69 ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการไร้สภาพของรัฐบาลในการบริหารประเทศ
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะจัดงบ 69 แบบผ่านๆ ไปไม่ได้ เลวร้ายที่สุดประเทศไทยมีโอกาสสูญเสียจีดีพีได้ถึง 45% ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ภาคการเกษตร ส่วนสงครามการค้าที่รุนแรงอย่างกำแพงภาษีทรัมป์ เรามีการแก้ไขอย่างล่าช้า ซึ่งเรื่องดังกล่าวกระทบการส่งออกสินค้าของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ที่ผ่านมาจีดีพีภาคการผลิตและการบริโภคของไทยจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันตลอด แสดงว่านโยบายการแจกเงินกระตุ้นการบริโภคในอดีตได้ แต่หลังปี 65 เป็นต้นมา จีดีพีภาคการบริโภค และการผลิต โตสวนทางกัน
.
ขณะที่การบริโภคสูงขึ้น แต่จีดีพีภาคการผลิตต่ำลง แปลว่าเงินที่ท่านแจกไปมันไหลออกไปในทางอื่นไม่ตกถึงผู้ผลิตในประเทศ กลับถูกกระทบจากสินค้านำเข้า และสินค้าเถื่อน เครื่องจักรอย่างการส่งออกกำลังจะทรุดหนักจากสงครามการค้าในอนาคต
.
ส่วนเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางจะกระทบการท่องเที่ยวของไทยในอนาคตแน่นอน ยังไม่นับรวมผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการคลังอย่างรุนแรงในอนาคต หากรัฐบาลยังลงทุนไม่ถูกจุดไม่มีเป้าหมายในการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน แล้วเราจะฝากความหวังไว้กับร่างฉบับนี้ได้อย่างไร
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 66 ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีสมาธิในการบริหารประเทศ ตนเชื่อว่า เราจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้ง 5 ด้าน คือ
.
1. เราจะเห็นการจัดทำงบประมาณที่รักษาระบบวินัยการเงิน การคลัง อย่างสมดุลไม่ใช่การขยายกรอบเพื่อกู้มาแจก ทำลายศักยภาพของประเทศในอนาคตอย่างสิ้นเชิง
.
2.เราจะเห็นการลงทุนในเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ พร้อมกับการฟื้นฟูเครื่องจักรเศรษฐกิจเดิม 3.เราจะได้บประมาณที่ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสวัสดิการที่ทั่วถึง 4.เราจะเห็นงบประมาณที่โปร่งใส และ 5.เราจะได้เห็นงบประมาณท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น
.
“การจัดทำงบประมาณปี 69 คือ การจัดกลุ่มตัวเลขไม่ใช่การให้ความสำคัญก่อนหลัง ทั้งนี้ มีผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณ เพื่อทำงบประมาณรูปแบบใหม่และธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น หากเสนอสภาฯ ไม่ผ่าน เพราะรัฐบาลไม่คิดเปลี่ยนแปลงของการจัดงบทำให้มองไม่เห็นยุทธศาสตร์ใดๆ จากงบสูตรเดิม
.
อยากให้ความหวังกับประชาชนด้วยว่าประเทศไทยไม่ขาดเงิน จะฝ่าวิกฤตได้ รัฐบาลต้องบริหารเงินแผ่นดินที่อยู่ในทุกหน่วยงานของรัฐ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ เฉพาะที่มีอยู่เท่ากับ 7-8 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็น 40% ต่อจีดีพีแต่ปัญหาไม่มีใครเชื่อมโยงเงิน รัฐวิสาหกิจต่างลงทุน และท้องถิ่นไม่เชื่อมโยงการบริหารประเทศ” ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปราย
.
นายณัฐพงษ์ อภิปรายต่อว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ขาดเงิน แต่ขาดการใช้เงินและลงทุนอย่างมีเป้าหมาย โดยงบปี 2569 เช่น รัฐบาลทุ่มงบกับการจัดการน้ำ ตลิ่ง เขื่อน คลอง มากกว่าเพิ่มพื้นที่รับน้ำ หรือระบบเตือนภัย
.
งบเกษตรฯ เน้นการเยียวยาไม่มีการลงทุน งบซอฟต์พาวเวอร์กลายเป็นงบอีเวนต์ ประชาสัมพันธ์ซ้ำซ้อน งบสิ่งแวดล้อมเน้นสร้างซ่อมมากกว่าการแก้เชิงระบบ งบดูแลคนพิการตกหล่น กระจัดกระจาย ซ้ำซ้อน ขาดการเข้าถึงอุปกรณ์พื้นฐาน
.
ดังนั้น ต้องเปลี่ยนวิธี เช่น งบประกันสินเชื่อเอสเอ็มดี เพื่อเพิ่มตัวคูณในระบบเศรษฐกิจถึง 7 เท่า งบช่วยเหลือเกษตรกร เปลี่ยนจากแจกเป็นเงินลงทุนอย่างมีเป้าหมาย สนับสนุนเครื่องจักรเฉพาะพื้นที่ พืช และเฉพาะเวลาเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดโลกร้อน
.
โลกเปลี่ยนแปลง แต่งบประมาณไทยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีวิธีการใช้งบที่คุ้มค่า แม้นายกฯ ไม่ได้ทำงบประมาณ แต่คือคนที่คุมสำนักงบประมาณ เมื่อปล่อยให้ประเทศไทยใช้งบแบบไร้เป้าหมาย ไม่ปรับทิศทาง หรือเปลี่ยนทีม จึงต้องตั้งคำถามว่าประเทศไทยมีคนที่เป็นผู้นำรัฐบาลอยู่จริงหรือไม่ สิ่งที่เห็นในร่างพ.ร.บ.งบฯ 69 นายกฯ ไม่เคยลงมาดูว่าเป้าหมายที่ประกาศหน่วยงานตั้งงบประมาณไว้หรือไม่ หรือทบทวนปรับเป้าหมาย รวมถึงไม่ตัดงบประมาณที่ซ้ำซ้อนเพื่อทำให้การทำงานดียิ่งขึ้น” นายณัฐพงษ์ อภิปราย
.
นายณัฐพงษ์ อภิปรายต่อว่า ตนขอเตือนนายกฯ ว่าวันนี้ไม่ใช่การทำงบประมาณที่ผิดพลาด แต่คือกระจกที่สะท้อนไปยังตัวนายกฯ ว่าไม่มีเป้าหมายให้ประเทศ ละเลยการทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาล ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศต่อสภาฯ ว่าจะปฏิรูประบบราชการที่ทันสมัย แต่การจัดงบประมาณสูตรเดิม เหมือนกับว่าประเทศไทยไม่เคยมีนายกฯ อยู่
.
เราไม่เคยมีผู้นำที่รู้จักใช้อำนาจเปลี่ยนงบประมาณที่ล้มเหลวเพื่อไม่ให้ประเทศล้มเหลวไปด้วย ผมขอย้ำว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่วิกฤตการคลัง แต่เป็นวิกฤตทางการเมือง เป็นวิกฤตของสถาบันรัฐไทย ที่เริ่มเป็นระบบขูดรีด ทั้งนี้ ประเทศไทยเกือบจะเป็นรัฐล้มเหลว หากจัดทำงบประมาณแบบเดิมที่ไม่เปลี่ยน นายกฯ ไม่ปรับการทำงาน วันนี้ประเทศไทยไม่ใช่รัฐล้มเหลวที่สมบูรณ์ โครงสร้างรัฐไม่พัง แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนพังไปแล้ว” นายณัฐพงษ์ อภิปราย
.

.
รังสิมันต์ ชี้ ฮ.ตำรวจ ตกบ่อย สะท้อน ฝีเริ่มแตก เคยยื่น ป.ป.ช. สอบกองบินตำรวจ แต่ไม่คืบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5204166
.
รังสิมันต์ ชี้ ฮ.ตำรวจ ตกบ่อย สะท้อน ฝีเริ่มแตก เผย เคยยื่น ป.ป.ช.สอบทุจริตกองบินตำรวจ ตั้งแต่ปี 65 แต่ไม่คืบ จี้ เร่งสางปัญหา ป้องกันเกิดอุบัติเหตุซ้ำ
.
เมื่อเวลา 14.20 น. วันที่ 28 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจ รุ่นเบลล์ 212 ตกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และมีตำรวจเสียชีวิต 2 นาย ว่า เรื่องเฮลิคอปเตอร์ตก ได้เคยอธิบายไปแล้วเมื่อปี 2565 ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในกองบินตำรวจ ย้อนไปตั้งแต่ผู้การท่านหนึ่ง โดยมีการนำอะไหล่ดีและไม่ดี มารวมกัน พร้อมนำไปขายทิ้ง ทำให้เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากของกองบินตำรวจ ไม่สามารถใช้งานได้ และยังพบว่านำอะไหล่ไปขายในราคาถูก และมีการนำเงินไปซื้ออะไหล่ที่ไม่จำเป็น อีกทั้งเมื่อดูในรายละเอียดพบว่ามีความน่าสงสัยสูง เช่น การซื้อตาข่ายกันนกในราคา 30 ล้านบาท ทั้งที่ราคาในตลาดทั่วไปหลักหมื่นถึงหลักแสนบาทเท่านั้น และมีข้อบ่งชี้ว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวาง ซึ่งที่ผ่านมาได้เคยส่งเรื่องไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดต่อไปแล้ว
.
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า โดยผู้ที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น ซึ่งเป็นอดีตผู้การฯ ก็จะเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเรื่องนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าขณะนี้เกษียณไปแล้วหรือไม่ ล่าสุดมีหนังสือตอบกลับจาก ปปช.ว่า เรื่องนี้ไม่มีมูล ซึ่งความหมายคือ ไม่พบการทุจริตเกิดขึ้นในกองบินตำรวจ ดังนั้นหากเป็นแบบนี้ “ฝีก็เริ่มแตก” เพราะการที่เฮลิคอปเตอร์ตกและก่อนหน้านี้ที่มีอุบัติเหตุในลักษณะคล้ายกัน สะท้อนให้เห็นว่า การบำรุงรักษาอากาศยาน และเฮลิคอปเตอร์ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
.
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนทราบว่า เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในกองบินตำรวจมีอายุการใช้งานมาก แต่การที่มีอายุมากกับการที่เฮลิคอปเตอร์ตกหรือใช้งานไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน จึงเห็นควรให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ หาก ป.ป.ช.เห็นการทุจิต ดำเนินการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษได้ จะสะท้อนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบเห็นว่ากองบินตำรวจมีการทุจริตเกิดขึ้น และจะเห็นความสำคัญของการบำรุงรักษาอากาศยาน หมายความว่าจะสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ทำให้นักบินเหล่านี้ไม่ต้องเสียชีวิต และยังช่วยป้องกันเหตุซ้ำได้ แต่ดูเหมือนว่า ป.ป.ช. ให้ความสำคัญกับการดำเนินคดีฝ่ายค้านมากกว่า โดยไม่ได้สนใจว่าการทุจริตในภาครัฐที่ส่งผลกระทบและเกี่ยวพันกับชีวิตของประชาชนที่ต้องมอดมลาย แล้วเจออุบัติเหตุแบบนี้ ป.ป.ช.กลับไม่สนใจ
.
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การทุจริตดังกล่าวของกองบินตำรวจ เกิดขึ้นในยุคของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และอยากเรียกร้อง ป.ป.ช.ว่าควรตั้งคดีนี้และทำเรื่องเร่งด่วน เพราะมีพยานหลักฐานครบถ้วน แม้วันนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรมีรายต่อไปและลำต่อไป ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่