เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.prachachat.net/economy/news-1814422
เป้าหมาย 30@30 ที่ประเทศไทยจะกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทุกประเภท ไม่ว่าจะปลั๊ก-อิน (PEV) ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) และแบตเตอรี่ (BEV) ค่อนข้างที่จะไปได้สวยกับการสร้างดีมานด์ในประเทศตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้มีกำลังการผลิตแล้วถึง 400,000 คัน/ปี จากเป้าที่ต้องผลิตให้ได้ 725,000 คัน ในปี 2573 ในงาน SUBCON Thailand 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 6 ค่ายรถแบรนด์ดัง BENZ BMW TOYOTA HONDA MG CHANGAN ได้สะท้อนสภาพตลาด ปัญหาและอุปสรรค ส่งถึงรัฐบาล
ยันไฮบริดยังตอบโจทย์ที่สุด
สำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Future Mobility) นายมาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (BENZ) ยังคงเชื่อว่าพลังงานไฟฟ้า ดิจิทัล คือสิ่งที่โลกต้องการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่เพียงแต่นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ครบทุกประเภท แต่ยังมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยี PHEV ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์สันดาปภายใน และช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า 100% ได้ โดยมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จ
ที่สำคัญคือ การร่วมมือยกระดับทักษะแรงงานรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับ Supply Chain ในประเทศไทย
ขณะที่ นายเรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต คือ เทคโนโลยีดิจิทัลและความยั่งยืน BMW จึงมุ่งหน้าส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 1.5 ล้านคันทั่วโลก และปี 2568 เตรียมเปิดตัว “Neue Klasse” ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเจเนอเรชั่นใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานไฟฟ้า และเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อทำให้สัดส่วน EV เพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 30%
พร้อมทั้งจับมือซัพพลายเออร์เพื่อพัฒนาระบบดิจิทัล โลจิสติกส์ และไอที เพราะสิ่งนี้เป็นกลไกหลักในการรับมือกับความผันผวนของการค้าโลกที่เกิดขึ้น และทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่จากฝั่งยุโรปยังคงเริ่มสเต็ปของ EV ด้วย PHEV เพื่อทำตลาดในไทย เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเป็นกังวลกับเทคโนโลยีของการใช้งานด้านแบตเตอรี่และความเพียงพอของสถานีชาร์จ
และต้องยอมรับว่า รถ EV ยังมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับรถสันดาป (ICE) ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง นายโคจิ อิวานามิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทางแก้คือนวัตกรรม ซึ่งรัฐต้องร่วมมือและสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทยให้พัฒนาเทคโนโลยี ทั้งด้านความรู้ความเชี่ยวชาญฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ ตลาด EV ของไทยไปได้ไกลและเร็ว
ซึ่งฮอนด้าจะช่วยผลักดันพัฒนาอุตสาหกรรมและระบบนิเวศของ xEV ซึ่งเริ่มทำตลาด HEV ที่ไทยตลอด 6 ปี เติบโตถึง 36% และทำให้ปี 2567 ฮอนด้ามียอดขายไฮบริดเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ และปี 2569 เตรียมเปิดตัว Honda 0 Series รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่สู่ตลาดโลก และจะขยับไปสู่ BEV ในอนาคต
BEV เริ่มชะลอตัวทั่วโลก
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มตลาด BEV ทั่วโลกเริ่มชะลอตัวลง ในขณะที่ตลาด HEV โตขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในอาเซียน เห็นได้ชัดในประเทศไทย ทาง TOYOTA ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี HEV ขณะเดียวกันก็เตรียมแผนผลิตรถกระบะไฟฟ้าในไทย ปลายปี 2568... อ่านต่อข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/economy/news-1814422
6 ค่ายรถใหญ่ประสานเสียง ตลาด EV ไทยบูม แต่ยังขาดคน-เทคโนโลยี
https://www.prachachat.net/economy/news-1814422
เป้าหมาย 30@30 ที่ประเทศไทยจะกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทุกประเภท ไม่ว่าจะปลั๊ก-อิน (PEV) ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) และแบตเตอรี่ (BEV) ค่อนข้างที่จะไปได้สวยกับการสร้างดีมานด์ในประเทศตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้มีกำลังการผลิตแล้วถึง 400,000 คัน/ปี จากเป้าที่ต้องผลิตให้ได้ 725,000 คัน ในปี 2573 ในงาน SUBCON Thailand 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 6 ค่ายรถแบรนด์ดัง BENZ BMW TOYOTA HONDA MG CHANGAN ได้สะท้อนสภาพตลาด ปัญหาและอุปสรรค ส่งถึงรัฐบาล
ยันไฮบริดยังตอบโจทย์ที่สุด
สำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Future Mobility) นายมาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (BENZ) ยังคงเชื่อว่าพลังงานไฟฟ้า ดิจิทัล คือสิ่งที่โลกต้องการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่เพียงแต่นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ครบทุกประเภท แต่ยังมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยี PHEV ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์สันดาปภายใน และช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า 100% ได้ โดยมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จ
ที่สำคัญคือ การร่วมมือยกระดับทักษะแรงงานรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับ Supply Chain ในประเทศไทย
ขณะที่ นายเรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต คือ เทคโนโลยีดิจิทัลและความยั่งยืน BMW จึงมุ่งหน้าส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 1.5 ล้านคันทั่วโลก และปี 2568 เตรียมเปิดตัว “Neue Klasse” ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเจเนอเรชั่นใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานไฟฟ้า และเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อทำให้สัดส่วน EV เพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 30%
พร้อมทั้งจับมือซัพพลายเออร์เพื่อพัฒนาระบบดิจิทัล โลจิสติกส์ และไอที เพราะสิ่งนี้เป็นกลไกหลักในการรับมือกับความผันผวนของการค้าโลกที่เกิดขึ้น และทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่จากฝั่งยุโรปยังคงเริ่มสเต็ปของ EV ด้วย PHEV เพื่อทำตลาดในไทย เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเป็นกังวลกับเทคโนโลยีของการใช้งานด้านแบตเตอรี่และความเพียงพอของสถานีชาร์จ
และต้องยอมรับว่า รถ EV ยังมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับรถสันดาป (ICE) ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง นายโคจิ อิวานามิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทางแก้คือนวัตกรรม ซึ่งรัฐต้องร่วมมือและสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทยให้พัฒนาเทคโนโลยี ทั้งด้านความรู้ความเชี่ยวชาญฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ ตลาด EV ของไทยไปได้ไกลและเร็ว
ซึ่งฮอนด้าจะช่วยผลักดันพัฒนาอุตสาหกรรมและระบบนิเวศของ xEV ซึ่งเริ่มทำตลาด HEV ที่ไทยตลอด 6 ปี เติบโตถึง 36% และทำให้ปี 2567 ฮอนด้ามียอดขายไฮบริดเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ และปี 2569 เตรียมเปิดตัว Honda 0 Series รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่สู่ตลาดโลก และจะขยับไปสู่ BEV ในอนาคต
BEV เริ่มชะลอตัวทั่วโลก
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มตลาด BEV ทั่วโลกเริ่มชะลอตัวลง ในขณะที่ตลาด HEV โตขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในอาเซียน เห็นได้ชัดในประเทศไทย ทาง TOYOTA ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี HEV ขณะเดียวกันก็เตรียมแผนผลิตรถกระบะไฟฟ้าในไทย ปลายปี 2568... อ่านต่อข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/economy/news-1814422