Lockheed Martin เปิดเผย F-16 Block 70 ฟิลิปปินส์ มีพิสัยการบินเพิ่มขึ้น

ในช่วงที่ความตึงเครียดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะทะเลจีนใต้ กำลังทวีความรุนแรง บริษัทล็อกฮีดมาร์ตินจากสหรัฐฯ ได้เพิ่มการประชาสัมพันธ์ข้อเสนอขายเครื่องบินขับไล่ F-16 Block 70 "Viper" ให้กับกองทัพอากาศฟิลิปปินส์ ภายใต้โครงการเครื่องบินรบอเนกประสงค์ (Multi-Role Fighter: MRF) โดยเน้นย้ำทั้งจุดแข็งด้านยุทธศาสตร์ เทคโนโลยี และศักยภาพทางอุตสาหกรรม เพื่อดึงดูดใจรัฐบาลมะนิลา
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้แจ้งว่า หากฟิลิปปินส์ตัดสินใจเลือก F-16 จะยังไม่สามารถส่งมอบได้ก่อนสิ้นทศวรรษนี้ เนื่องจากสายการผลิตมีคำสั่งจองล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก
ข้อเสนอนี้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของฟิลิปปินส์ ที่มุ่งเน้นการควบคุมพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ล็อกฮีดมาร์ตินชูจุดเด่นว่า F-16 Block 70 ติดตั้งถังเชื้อเพลิงเสริม (Conformal Fuel Tanks: CFT) ซึ่งช่วยเพิ่มระยะบินได้อย่างมาก โดยไม่ต้องพึ่งการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศมากนัก ทำให้เครื่องรุ่นนี้ได้เปรียบคู่แข่งสำคัญอย่าง JAS-39 Gripen ของสวีเดน โดยเฉพาะในภารกิจระยะไกล
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2025 สหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายเครื่องบิน F-16 Block 70/72 ให้กับฟิลิปปินส์จำนวน 20 ลำ มูลค่าประมาณ 5.58 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการขายอาวุธให้ต่างประเทศ (FMS) โดยสำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงสหรัฐฯ ได้แจ้งต่อรัฐสภา พร้อมเปิดช่วงเวลาพิจารณา 30 วัน ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลจีนใต้และไต้หวัน
ระหว่างการเยือนฟิลิปปินส์ ล่าสุด รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีท เฮกเซธ ย้ำถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่จะ "ฟื้นฟูการยับยั้ง" ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยมีพล.อ. โรเมโอ บราวเนอร์ ของฟิลิปปินส์กล่าวเสริมว่า หากเกิดความขัดแย้งในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน สะท้อนถึงความเร่งด่วนในการเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ
แพ็คเกจที่สหรัฐฯ เสนอประกอบด้วย F-16C (ที่นั่งเดี่ยว) 16 ลำ และ F-16D (ที่นั่งคู่) 4 ลำ พร้อมอาวุธและระบบขั้นสูง เช่น เรดาร์ AN/APG-83 AESA, ปืน 20 มม., ระบบนำทางเข้ารหัส M-Code, วิทยุยุทธวิธี MIDS-JTRS, กล้องเล็ง Sniper, ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Viper Shield รวมถึงอาวุธเช่น AIM-120C-8, AIM-9X, ระเบิด GBU-39 และชุด JDAM
F-16 Block 70/72 หรือ F-16V เป็นรุ่นพัฒนาสูงสุดของตระกูล F-16 ใช้เรดาร์ SABR AESA ที่สามารถติดตามหลายเป้าหมายและทำแผนที่ความละเอียดสูง แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวนสูง ระดับการตรวจจับใกล้เคียงเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 และผสานระบบนำเป้าได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ยังมีระบบเอาตัวรอดทันสมัยอย่าง Auto-GCAS ป้องกันการชนพื้นดินที่ผ่านการใช้งานจริงในกองทัพสหรัฐฯ ห้องนักบินดิจิทัล จอภาพคมชัดสูง ระบบสื่อสารเข้ารหัส เซ็นเซอร์อินฟราเรด (IRST) และระบบตอบโต้อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ F-16V ทำความเร็วได้เกิน Mach 2 มีรัศมีปฏิบัติการ 580 กม. และพิสัยบินสูงสุด 3,900 กม. พร้อมถังเชื้อเพลิงภายนอก
Lockheed Martin ยังเสนอแนวทางความร่วมมือภายในประเทศ เช่น แผนซ่อมบำรุงในพื้นที่ระดับชิ้นส่วน และการตั้งศูนย์นวัตกรรมในฟิลิปปินส์คล้ายกับที่อาบูดาบี เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมกับสถาบันการศึกษา ทุนวิจัย และหลักสูตรวิศวกรรมอวกาศ ปัจจุบันยังหารือเรื่องทำเลของศูนย์ฯ กับรัฐบาลฟิลิปปินส์อยู่
ด้านการเจรจา เจส โคโลอินี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Lockheed Martin ระบุว่า รัฐบาลทั้งสองประเทศยังคุยกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องแหล่งเงินทุน และคาดว่าจะมีความคืบหน้าภายในสิ้นปี 2025

ในเชิงยุทธศาสตร์ Lockheed Martin ย้ำว่า F-16V เข้ากันได้กับเครื่องบิน FA-50 ของฟิลิปปินส์ที่มีอยู่แล้ว ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่เครื่องบินรุ่นสูงกว่าราบรื่นยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ระบบร่วมกันได้ เช่น แท่นเล็ง Sniper
F-16 Block 70 ถือเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดในตระกูล โดยผสานเรดาร์ AESA, ห้องนักบินใหม่, Auto-GCAS และอายุใช้งานที่ยาวนานถึง 12,000 ชั่วโมงบิน ถังเชื้อเพลิง CFT ช่วยเพิ่มพิสัยโดยไม่ลดสมรรถนะด้านอากาศพลศาสตร์ เหมาะกับประเทศที่มีเกาะจำนวนมากและภารกิจตรวจการณ์ทางทะเลที่ต้องใช้ระยะไกล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นประเด็นคือระยะเวลาผลิต ปัจจุบันมีเครื่องระหว่างประกอบอยู่ถึง 114 ลำ ทำให้การส่งมอบให้ฟิลิปปินส์น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2020 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงขั้นสุดท้าย และลำดับความสำคัญของรัฐบาล
โรงงานประกอบตั้งอยู่ในเมืองกรีนวิลล์ รัฐเซาท์แคโรไลนา และตั้งเป้าผลิตได้ปีละ 48 ลำ ด้วยการสนับสนุนจากเครือข่ายซัพพลายเออร์กว่า 500 รายทั่วโลก
ปัจจุบันมี F-16 ใช้งานทั่วโลก และหลายประเทศอย่างบาห์เรน ไต้หวัน กรีซ สโลวาเกีย และบัลแกเรีย ต่างเลือกอัปเกรดฝูงบินเป็นรุ่น Block 70/72 ซึ่งการที่ฟิลิปปินส์เข้าร่วมเครือข่ายนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในการฝึกร่วมอย่าง Balikatan และ Cope Thunder
ข้อเสนอของ Lockheed Martin วางโครงสร้างไว้ 3 เสาหลัก คือ ประสิทธิภาพทางเทคนิคที่ตรงตามความต้องการของประเทศหมู่เกาะ, ความร่วมมือทางอุตสาหกรรมและการศึกษาในพื้นที่ และการบูรณาการในระดับภูมิภาคโดยใช้มาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่องระยะเวลาการส่งมอบยังเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของโครงการ MRF จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาทั้งในมิติยุทธศาสตร์ อุตสาหกรรม และการเงินร่วมกัน

Lockheed Martin เปิดเผย F-16 Block 70 ฟิลิปปินส์ มีพิสัยการบินเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้แจ้งว่า หากฟิลิปปินส์ตัดสินใจเลือก F-16 จะยังไม่สามารถส่งมอบได้ก่อนสิ้นทศวรรษนี้ เนื่องจากสายการผลิตมีคำสั่งจองล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก
ข้อเสนอนี้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของฟิลิปปินส์ ที่มุ่งเน้นการควบคุมพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ล็อกฮีดมาร์ตินชูจุดเด่นว่า F-16 Block 70 ติดตั้งถังเชื้อเพลิงเสริม (Conformal Fuel Tanks: CFT) ซึ่งช่วยเพิ่มระยะบินได้อย่างมาก โดยไม่ต้องพึ่งการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศมากนัก ทำให้เครื่องรุ่นนี้ได้เปรียบคู่แข่งสำคัญอย่าง JAS-39 Gripen ของสวีเดน โดยเฉพาะในภารกิจระยะไกล
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2025 สหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายเครื่องบิน F-16 Block 70/72 ให้กับฟิลิปปินส์จำนวน 20 ลำ มูลค่าประมาณ 5.58 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการขายอาวุธให้ต่างประเทศ (FMS) โดยสำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงสหรัฐฯ ได้แจ้งต่อรัฐสภา พร้อมเปิดช่วงเวลาพิจารณา 30 วัน ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลจีนใต้และไต้หวัน
ระหว่างการเยือนฟิลิปปินส์ ล่าสุด รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีท เฮกเซธ ย้ำถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่จะ "ฟื้นฟูการยับยั้ง" ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยมีพล.อ. โรเมโอ บราวเนอร์ ของฟิลิปปินส์กล่าวเสริมว่า หากเกิดความขัดแย้งในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน สะท้อนถึงความเร่งด่วนในการเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ
แพ็คเกจที่สหรัฐฯ เสนอประกอบด้วย F-16C (ที่นั่งเดี่ยว) 16 ลำ และ F-16D (ที่นั่งคู่) 4 ลำ พร้อมอาวุธและระบบขั้นสูง เช่น เรดาร์ AN/APG-83 AESA, ปืน 20 มม., ระบบนำทางเข้ารหัส M-Code, วิทยุยุทธวิธี MIDS-JTRS, กล้องเล็ง Sniper, ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Viper Shield รวมถึงอาวุธเช่น AIM-120C-8, AIM-9X, ระเบิด GBU-39 และชุด JDAM
F-16 Block 70/72 หรือ F-16V เป็นรุ่นพัฒนาสูงสุดของตระกูล F-16 ใช้เรดาร์ SABR AESA ที่สามารถติดตามหลายเป้าหมายและทำแผนที่ความละเอียดสูง แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวนสูง ระดับการตรวจจับใกล้เคียงเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 และผสานระบบนำเป้าได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ยังมีระบบเอาตัวรอดทันสมัยอย่าง Auto-GCAS ป้องกันการชนพื้นดินที่ผ่านการใช้งานจริงในกองทัพสหรัฐฯ ห้องนักบินดิจิทัล จอภาพคมชัดสูง ระบบสื่อสารเข้ารหัส เซ็นเซอร์อินฟราเรด (IRST) และระบบตอบโต้อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ F-16V ทำความเร็วได้เกิน Mach 2 มีรัศมีปฏิบัติการ 580 กม. และพิสัยบินสูงสุด 3,900 กม. พร้อมถังเชื้อเพลิงภายนอก
Lockheed Martin ยังเสนอแนวทางความร่วมมือภายในประเทศ เช่น แผนซ่อมบำรุงในพื้นที่ระดับชิ้นส่วน และการตั้งศูนย์นวัตกรรมในฟิลิปปินส์คล้ายกับที่อาบูดาบี เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมกับสถาบันการศึกษา ทุนวิจัย และหลักสูตรวิศวกรรมอวกาศ ปัจจุบันยังหารือเรื่องทำเลของศูนย์ฯ กับรัฐบาลฟิลิปปินส์อยู่
ด้านการเจรจา เจส โคโลอินี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Lockheed Martin ระบุว่า รัฐบาลทั้งสองประเทศยังคุยกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องแหล่งเงินทุน และคาดว่าจะมีความคืบหน้าภายในสิ้นปี 2025
F-16 Block 70 ถือเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดในตระกูล โดยผสานเรดาร์ AESA, ห้องนักบินใหม่, Auto-GCAS และอายุใช้งานที่ยาวนานถึง 12,000 ชั่วโมงบิน ถังเชื้อเพลิง CFT ช่วยเพิ่มพิสัยโดยไม่ลดสมรรถนะด้านอากาศพลศาสตร์ เหมาะกับประเทศที่มีเกาะจำนวนมากและภารกิจตรวจการณ์ทางทะเลที่ต้องใช้ระยะไกล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นประเด็นคือระยะเวลาผลิต ปัจจุบันมีเครื่องระหว่างประกอบอยู่ถึง 114 ลำ ทำให้การส่งมอบให้ฟิลิปปินส์น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2020 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงขั้นสุดท้าย และลำดับความสำคัญของรัฐบาล
โรงงานประกอบตั้งอยู่ในเมืองกรีนวิลล์ รัฐเซาท์แคโรไลนา และตั้งเป้าผลิตได้ปีละ 48 ลำ ด้วยการสนับสนุนจากเครือข่ายซัพพลายเออร์กว่า 500 รายทั่วโลก
ปัจจุบันมี F-16 ใช้งานทั่วโลก และหลายประเทศอย่างบาห์เรน ไต้หวัน กรีซ สโลวาเกีย และบัลแกเรีย ต่างเลือกอัปเกรดฝูงบินเป็นรุ่น Block 70/72 ซึ่งการที่ฟิลิปปินส์เข้าร่วมเครือข่ายนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในการฝึกร่วมอย่าง Balikatan และ Cope Thunder
ข้อเสนอของ Lockheed Martin วางโครงสร้างไว้ 3 เสาหลัก คือ ประสิทธิภาพทางเทคนิคที่ตรงตามความต้องการของประเทศหมู่เกาะ, ความร่วมมือทางอุตสาหกรรมและการศึกษาในพื้นที่ และการบูรณาการในระดับภูมิภาคโดยใช้มาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่องระยะเวลาการส่งมอบยังเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของโครงการ MRF จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาทั้งในมิติยุทธศาสตร์ อุตสาหกรรม และการเงินร่วมกัน