กรณีศึกษา: สิทธิด้านสุขภาพกับรัฐธรรมนูญ 2540 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 8
แม้ว่าการตั้งคำถามของประชาชนมักไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายในระบบการเมืองไทย แต่ก็มี ข้อยกเว้นสำคัญ ที่สามารถยกมาเป็นกรณี
ศึกษาได้อย่างชัดเจน ได้แก่ การผลักดันสิทธิด้านสุขภาพจนกลายเป็นหลักประกันตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
ในช่วงก่อนการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มภาคประชาสังคมและเครือข่ายด้านสุขภาพ ได้ตั้งคำถามและวิพากษ์ถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างเป็นทางการ คำถามหลักคือ:
“ทำไมคนจนต้องล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล ในเมื่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน?”
คำถามนี้ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ขับเคลื่อนเข้าสู่เวทีนโยบาย โดยเฉพาะเมื่อประเทศเข้าสู่ช่วงการจัดทำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างกว้างขวาง ในการกำหนดแนวทางพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาตรา 52 ได้บัญญัติรับรองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนไว้อย่างชัดเจนว่า:
“บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ และผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”
การบัญญัตินี้ไม่เพียงเป็นการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องจากประชาชนเท่านั้น แต่ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของ นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
บทเรียนจากกรณีนี้
คำถามจากประชาชนสามารถเปลี่ยนเป็นนโยบายได้จริง หากมี กลไกการรับฟังและการมีส่วนร่วมเชิงโครงสร้าง อย่างเป็นระบบ
ความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน นักวิชาการ และผู้ร่างนโยบาย สามารถสร้าง ฉันทามติทางสังคม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับรัฐธรรมนูญ
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของคำถามที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล ความเดือดร้อนที่แท้จริง และมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องในเชิงระบบ
สิทธิด้านสุขภาพ ของคนไทย ความคิดใคร? บุญคุณใคร?