การกล่าวถึงการพึ่งพิงจีนและการที่ญี่ปุ่น "เลิกคบ" ประเทศไทยหลังจากปี 2001 เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและการพัฒนาของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หลายประเด็นที่เกี่ยวข้องสามารถอธิบายได้หลายมุมมอง:
1. ญี่ปุ่นและความสัมพันธ์ทางการค้า/โครงสร้างพื้นฐาน
ญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1990 ผ่านการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ เช่น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การสร้างรถไฟฟ้า MRT และอื่นๆ โดยที่มีความร่วมมือผ่าน MOU (Memorandum of Understanding) ที่ทำให้ญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาเหล่านี้
การถอนตัวหรือการชะลอความร่วมมือในบางโครงการอาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัญหาการบริหารจัดการในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจทำให้การลงทุนของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากการขาดความเชื่อมั่นในความมั่นคงของโครงการ
2. จีนและบทบาทใหม่ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
หลังจากที่ญี่ปุ่นมีความลังเลหรือชะลอการสนับสนุนในบางโครงการในประเทศไทย จีนได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายโครงการ โดยเฉพาะในช่วงที่จีนมีโครงการ "One Belt, One Road" (เส้นทางสายไหม) ที่สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย การร่วมมือกับจีนในโครงการต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการมอเตอร์เวย์, และโครงการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ เป็นการขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งจีนสามารถให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคโนโลยีที่สำคัญได้
3. ผลกระทบจากการเมือง
ความเชื่อมั่นจากต่างประเทศในความสามารถในการบริหารจัดการโครงการมักได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ การกล่าวถึงการ "โกง" หรือการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ในประเทศไทย อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนหรือการร่วมมือจากประเทศอื่นๆ
4. สรุป
การที่ญี่ปุ่นลดบทบาทหรือชะลอความร่วมมือกับไทยหลังปี 2001 เป็นผลมาจากปัญหาทางการเมืองในประเทศไทย รวมถึงความเปลี่ยนแปลง จีนจึงได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ ก่อนร้างในไทยมากขึ้น การพึ่งพาจีนในโครงการต่างๆ จึงปัญหาตึกถล่ม
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ล้าช้าจาก 4 ปี เป็น 11 ปี ส่งผลต่อปัญหามาตราฐานการก่อสร้างในประเทศไทย คือ