แม้ว่าโลกจะผ่านช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่รุนแรงมาแล้วหลายระลอก และหลายประเทศ
ประเทศไทยได้คลายมาตรการต่าง ๆ ลงไปมาก แต่ไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคโควิด-19 ยังไม่เคยหายไปไหน
การกลับมาระบาดระลอกใหม่ในหลายพื้นที่ในปี 2567–2568 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่า
"อย่าชะล่าใจ"
เพราะไวรัสนี้ยังคงพัฒนาและกลายพันธุ์ได้อย่างต่อเนื่อง
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
โควิด-19 ระลอกใหม่ อย่าชะล่าใจ
การกลายพันธุ์ของไวรัส
สายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างเช่น
JN.1,
BA.2.86, หรือ
FLiRT variants มีแนวโน้มแพร่เชื้อได้เร็วกว่าเดิม
แม้จะไม่รุนแรงถึงชีวิตเท่าสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่สามารถทำให้เกิดคลัสเตอร์ได้ง่าย
โดยเฉพาะในพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
ภูมิคุ้มกันที่ลดลงตามเวลา
วัคซีนและภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อก่อนหน้าอาจลดประสิทธิภาพลงเมื่อเวลาผ่านไป
ทำให้ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อแล้วกลับมาติดได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
การใช้ชีวิตที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
กิจกรรมต่าง ๆ ที่กลับมาเป็นปกติ เช่น การเดินทาง การจัดงาน รวมถึงการไม่สวมหน้ากากในที่สาธารณะ ทำให้โอกาสแพร่เชื้อเพิ่มมากขึ้น
อาการของโควิด-19 ระลอกใหม่
อาการของผู้ติดเชื้อในระลอกนี้มัก
ไม่รุนแรง แต่สามารถทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาได้
ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล
ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย
อาการที่ยังพบแต่ไม่บ่อย: สูญเสียการรับกลิ่น/รส (พบได้น้อยกว่าระลอกก่อน)
ถึงแม้อาการโดยรวมจะเบากว่าในอดีต แต่สำหรับ
กลุ่มเสี่ยงสูง
ผู้สูงอายุ
ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เบาหวาน ความดัน หัวใจ ปอด)
หญิงตั้งครรภ์
เด็กเล็ก
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การติดเชื้ออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หอบเหนื่อย หรือแม้แต่เสียชีวิตได้
สิ่งที่ประชาชนควรทำ ในช่วงโควิด-19 ระลอกใหม่
1. สังเกตอาการตัวเองและคนรอบข้าง
หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือไม่สบาย ควรแยกตัวและตรวจ ATK ทันที
และควรหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก
2. สวมหน้ากากในที่แออัดหรือระบบปิด
โดยเฉพาะสถานที่สาธารณะ โรงพยาบาล และระบบขนส่งสาธารณะ
3. หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าโดยไม่จำเป็น
4. รับวัคซีนเข็มกระตุ้น
หากไม่ได้ฉีดเข็มกระตุ้นเกิน 6 เดือน ควรพิจารณารับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง
เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เพียงพอต่อสายพันธุ์ใหม่
5. ทำงานหรือเรียนจากบ้านหากไม่สบาย
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในวงกว้าง

โควิด-19 สอนให้เรารู้ว่า
โรคระบาดสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้ในชั่วข้ามคืน
แม้สถานการณ์วันนี้ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ไวรัสยังคงมีอยู่ การรักษาวินัยทางสาธารณสุข
และการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเป็นเรื่องสำคัญ
อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงระวัง วันนี้เราสามารถเตรียมตัวได้แล้วด้วยการดูแลตัวเองและครอบครัวอย่างมีสติ ไม่ตระหนก แต่ก็ไม่ประมาท
การกลับมาของโควิด-19 ในระลอกใหม่ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่เป็นเรื่องที่เราควร “ตระหนัก” และ
พร้อมรับมือ
ด้วยการป้องกันอย่างถูกวิธี เพราะแม้ไวรัสจะกลายพันธุ์ไปอีกกี่รูปแบบ แต่การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานก็ยังคงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
"โควิด-19 อาจอยู่กับเราไปอีกนาน แต่การไม่ชะล่าใจ คือวิธีที่เราจะอยู่กับมันได้อย่างปลอดภัย"
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=tVNxIDhB6SA
https://www.youtube.com/watch?v=d0q8mzFZiQI
https://www.youtube.com/watch?v=6q_XPn0RVRg


โควิด-19 ระลอกใหม่ อย่าชะล่าใจ!
ประเทศไทยได้คลายมาตรการต่าง ๆ ลงไปมาก แต่ไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคโควิด-19 ยังไม่เคยหายไปไหน
การกลับมาระบาดระลอกใหม่ในหลายพื้นที่ในปี 2567–2568 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่า "อย่าชะล่าใจ"
เพราะไวรัสนี้ยังคงพัฒนาและกลายพันธุ์ได้อย่างต่อเนื่อง
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
การกลายพันธุ์ของไวรัส
สายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างเช่น JN.1, BA.2.86, หรือ FLiRT variants มีแนวโน้มแพร่เชื้อได้เร็วกว่าเดิม
แม้จะไม่รุนแรงถึงชีวิตเท่าสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่สามารถทำให้เกิดคลัสเตอร์ได้ง่าย
โดยเฉพาะในพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
ภูมิคุ้มกันที่ลดลงตามเวลา
วัคซีนและภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อก่อนหน้าอาจลดประสิทธิภาพลงเมื่อเวลาผ่านไป
ทำให้ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อแล้วกลับมาติดได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
การใช้ชีวิตที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
กิจกรรมต่าง ๆ ที่กลับมาเป็นปกติ เช่น การเดินทาง การจัดงาน รวมถึงการไม่สวมหน้ากากในที่สาธารณะ ทำให้โอกาสแพร่เชื้อเพิ่มมากขึ้น
อาการของผู้ติดเชื้อในระลอกนี้มัก ไม่รุนแรง แต่สามารถทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาได้
ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล
ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย
อาการที่ยังพบแต่ไม่บ่อย: สูญเสียการรับกลิ่น/รส (พบได้น้อยกว่าระลอกก่อน)
ถึงแม้อาการโดยรวมจะเบากว่าในอดีต แต่สำหรับ กลุ่มเสี่ยงสูง
ผู้สูงอายุ
ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เบาหวาน ความดัน หัวใจ ปอด)
หญิงตั้งครรภ์
เด็กเล็ก
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การติดเชื้ออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หอบเหนื่อย หรือแม้แต่เสียชีวิตได้
1. สังเกตอาการตัวเองและคนรอบข้าง
หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือไม่สบาย ควรแยกตัวและตรวจ ATK ทันที
และควรหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก
2. สวมหน้ากากในที่แออัดหรือระบบปิด
โดยเฉพาะสถานที่สาธารณะ โรงพยาบาล และระบบขนส่งสาธารณะ
3. หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าโดยไม่จำเป็น
4. รับวัคซีนเข็มกระตุ้น
หากไม่ได้ฉีดเข็มกระตุ้นเกิน 6 เดือน ควรพิจารณารับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง
เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เพียงพอต่อสายพันธุ์ใหม่
5. ทำงานหรือเรียนจากบ้านหากไม่สบาย
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในวงกว้าง
แม้สถานการณ์วันนี้ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ไวรัสยังคงมีอยู่ การรักษาวินัยทางสาธารณสุข
และการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเป็นเรื่องสำคัญ
อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงระวัง วันนี้เราสามารถเตรียมตัวได้แล้วด้วยการดูแลตัวเองและครอบครัวอย่างมีสติ ไม่ตระหนก แต่ก็ไม่ประมาท
การกลับมาของโควิด-19 ในระลอกใหม่ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่เป็นเรื่องที่เราควร “ตระหนัก” และ พร้อมรับมือ
ด้วยการป้องกันอย่างถูกวิธี เพราะแม้ไวรัสจะกลายพันธุ์ไปอีกกี่รูปแบบ แต่การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานก็ยังคงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
"โควิด-19 อาจอยู่กับเราไปอีกนาน แต่การไม่ชะล่าใจ คือวิธีที่เราจะอยู่กับมันได้อย่างปลอดภัย"
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=tVNxIDhB6SA
https://www.youtube.com/watch?v=d0q8mzFZiQI
https://www.youtube.com/watch?v=6q_XPn0RVRg