ผลสำรวจอเมริกันชี้ พ่อแม่รุ่นใหม่ไม่อ่านหนังสือ ให้ลูกฟังก่อนนอน เด็กยุคใหม่จึงไม่รักการอ่าน

เด็กยุคปัจจุบันมี 'ปัญหาการอ่าน' และจริงๆ สถิติจากหลายพื้นที่ในโลกก็ชี้ตรงกัน ถามว่าเพราะเหตุใด เป็นเพราะระยะหลังๆ อุตสาหกรรมหนังสือในโลกภาษาอังกฤษมีความรู้สึกว่ายอดขาย 'หนังสือเด็ก' ไม่ดีอย่างที่ควร เขาก็เลยไปสำรวจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

.

หลักๆ แล้วเขาค้นพบว่าพ่อแม่รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มองว่าการ 'อ่านนิทานก่อนนอน' ให้ลูกฟังเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินอีกแล้ว โดยจำนวนพ่อแม่ที่รู้สึกแบบนี้มีมากขึ้นในพ่อแม่รุ่นใหม่ๆ หรือพบน้อยสุดในพ่อแม่ Gen X และพบมากสุดในพ่อแม่ Gen Z แต่โดยรวมคือประมาณ 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่แต่ละรุ่นไม่รู้สึกว่าการอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนมันคือความบันเทิงอีกต่อไป

.

สำหรับสังคมไทย เราอาจไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับสังคมอเมริกันนี่คือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาก เพราะอเมริกันมีจารีตที่พ่อแม่ต้องอ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอนมายาวนาน และจริงๆ ถ้าใครอ่านหนังสือหรือดูซีรีส์ฝั่งอเมริกาบ่อยๆ เราก็จะเห็นฉากที่พ่อแม่อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน และนี่แหละสิ่งที่ค่อยๆ หายไป

.

ถามว่าหายไปแล้วเกิดอะไรขึ้น? มันก็เป็นแค่ 'วัฒนธรรม' หนึ่งที่เปลี่ยนไปตามยุคหรือเปล่า คือมันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าเด็กเล็กอเมริกันที่ 'มีปัญหาด้านการอ่าน' จะไม่ได้มีจำนวนมากขึ้นๆ ซึ่งก็แน่นอน บางคนก็อาจบอกว่าเพราะพ่อแม่จำนวนมากปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ทำให้ลูกชินกับวัฒนธรรมด้านภาพมากกว่าตัวหนังสือ และโตมาแบบ 'ไม่รักการอ่าน' แต่ที่จริงมันก็เป็นเรื่องเดียวกันเป๊ะๆ กับการที่พ่อแม่หยุดอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน เพราะพ่อแม่รุ่นใหม่ๆ ก็มักจะโยนมือถือให้ลูกเล่นมากกว่า

.

แน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นดีเบตใหญ่ในสังคมตะวันตก เพราะสังคมที่คนไม่อ่านหนังสือมันจะทำให้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปหมด ไม่ว่านั่นจะเป็นยอดขายหนังสือเด็กที่ลดลง ไปจนถึงบทสนทนาเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะที่มีมาตรฐานต่ำลงเรื่อยๆ

.

แต่กลับกัน ถ้าหันมามองดูสังคมอย่างสังคมไทย ที่คนไม่ค่อยรักการอ่านอยู่แล้ว และหนังสือก็ราคาแพงขึ้นๆ อย่างต่อเนื่อง คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในระยะยาว ทักษะการอ่าน-เขียนนั้นแทนที่จะเป็นคุณลักษณะพื้นฐานที่พลเมืองทุกคนต้องมี มันจะค่อยๆ กลายเป็นทักษะของชนชั้นมีอันจะกินมากขึ้น หรือมันก็จะกลับไปเป็นแบบในอดีต ที่การอ่านเป็นเรื่องของชนชั้นสูง สามัญชนทั่วไปล้วนอ่านหนังสือไม่ออก

.

ก็น่าสนใจว่าสังคมแบบนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

ที่มา : BrandThink