เราแต่งนิยายเองครั้งแรกค่ะ แต่ว่าจะลบเพราะมันไปต่อแล้วไม่สนุก แต่เสียดายเลยขอลงที่นี่ไว้นะคะ

การพบเจอและฟากฟ้าความสัมพันธ์



แสงอาทิตย์สีทองอ่อนค่อยๆลับขอบฟ้าไป เหลือไว้เพียงท้องฟ้าสีส้มเหลืองอร่ามรามราวกับทองคำแผ่นใหญ่กระทบกับผิวทะเล ส่องให้เห็นเพชรนับพันที่กำลังเเหวกว่ายอยู่ในนั้น

มันควรจะเป็นเหมือนอย่างเคย ที่ผมควรจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศและเดินทอดน่องไปตามขอบชายหาด

ก่อนที่ผมจะได้เจอกับ เขา...ไม่สิ ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไรก็ตาม

ร่างนั่น

มันเป็นร่างใหญ่สีขาว ผิวภายนอกเงาราบเรียบราวกับกระจกเปล่งประกายราวกับคริสตัล

เขาเคลื่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วและดุดันดั่งลูกศร แต่มันกลับสง่างามราวกับตัวละครในเทพนิยายปรำปราที่กำลังร่ายรำบนเวทีอันแสนเงียบงัน

พอรู้ตัวอีกทีร่างนั่นก็มาอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว ดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องมองลงมายังเบื้องล่าง แววตาของเขาแปลกประหลาดเกินกว่าที่จะมองข้าม ดูว่างเปล่า...และไร้ชีวิต

ไม่มีการตอบสนองใดจากเราทั้งคู่ ทุกอย่างหยุดชะงักลง ในตอนนี้ผมได้ยินเพียงแค่เสียงเครื่องยนต์ที่แผ่วเบาออกมาจากตัวเขา...

ภายใต้ความกดดันที่คลุ้มคลั่ง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวราวกับคลื่นหมุนวนในทะเลที่บิดเกลียวเป็นรูปร่างของ

ความกลัว

ความกลัวทำให้ผมไม่อาจละสายตาออกจากเขาได้ อย่าพูดถึงการวิ่งหนีเลยแม้แต่จะก้าวขาสักข้างยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

ผมควรจะพูดอะไรสักอย่างออกไปแต่... อะไรล่ะ? ผมใช้ความคิดทั้งหมดเท่าที่มีเพื่อหาคำถามที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองในตอนนี้

แม้ว่าสุดท้ายปากเจ้ากรรมของผมจะตัดสินใจพูดสิ่งที่แย่ที่สุดออกไปก็ตาม..

" นะ..นายต้องการอะไร? "

เสียงของผมสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แม้จะรู้ดีว่าคำถามที่หลุดออกมาจากปากเล็กๆนี่มันช่างเจาะจงและหยาบคาย

แต่จะให้ทำยังไงได้... ความคิดของผมมันตีบตันไปหมด ราวกับถูกจับแช่แข็งในห้องที่แสนเย็นยะเยือก มีเพียงคำพูดเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว

ทว่าผมรู้...รู้ดีเลยว่าเสียงที่เปล่งออกไป มันทั้งขี้ขลาดและอ่อนแอแค่ไหน

ความหงุดหงิดค่อยๆแผ่ซ่านลุกลามเหมือนไฟที่เผาผลาญอยู่ภายใน แต่อีกแง่หนึ่งมันก็เป็นเรื่องดี ถ้าสิ่งที่ผมเอ่ยออกไปจะทำให้เขาคิดว่าสิ่งตรงหน้าไม่ใช่ศัตรู

ในช่วงเวลาที่แสนยาวนาน เขายังคงจ้องมองลงมาอย่างน่าสะพรึงราวกับกำลังตั้งหน้าตั้งตาแทะโลมเหยื่ออันแสนโอชะ

" สิ่งที่คุณถามมาผมเกรงว่าจะตอบมันไม่ได้ .....ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร "

เสียงเย็นชาและแข็งกร้าวแทรกผ่านความเงียบ ราวกับฟันของสัตว์ร้ายที่กำลังขบกัดอากาศตรงหน้า

" ...ทำไม...นายถึงไม่รู้งั้นหรอ?... "

เสียงของผมสั่นเครือไปตามคำถามที่เอ่ยออกมาแม้จะพยายามยับยั้งมัน แต่สุดท้ายมันก็หลุดลอยออกไปดั่งเช่นสายลม

ร่างใหญ่ยังคงยืนเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้าไม่ไหวติง ดวงตาเย็นชาของเขายังคงจับจ้อง ไม่มีการตอบสนองใดๆ นอกจากความเงียบที่ทับทมความกลัวของผมให้ทวีคูณขึ้น

" ผมไม่สามารถจำมันได้ ....ผมสูญเสียข้อมูลบางส่วนไป...หรือในอีกความหมายหนึ่งคุณจะคิดว่าผมความจำเสื่อมไปก็ได้ครับ "

เสียงของเขามันช่างเรียบนิ่งเสียจนคล้ายกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือเศษเสี้ยวของอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก ไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึกมีเพียงคำพูดที่ถูกบันทึกไว้เท่านั้น

ทุกห้วงลมหายใจของผมในตอนนี้ช่างหนักอึ้ง เหมือนถูกกดทับด้วยน้ำหนักบางอย่างที่มองไม่เห็น

" สูญเสีย?..."

ผมพึมพำออกไปเบาๆอย่างไม่มั่นใจ รู้สึกเหมือนคำถามยังคงค้างเต่งอยู่ในอากาศ คำพูดที่เหมือนคลื่นลมที่พัดพาวิญญาณของผมหลุดลอยไป เข้าสู่ห้วงของความคิด

มันเหมือนกับการสะท้อนคำถามที่ไม่มีคำตอบ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงเข้าไปในโลกที่เกินกว่าจะเข้าใจ หรือแม้แต่จะยอมรับได้

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นจนแทบจะสัมผัสกัน ดวงตาของเราทั้งคู่ผสานราวกับมันเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว

"  คุณนี่ช่างสงสัยเก่งเหลือเกินนะครับ "

เขาพูดอย่างสุภาพและเรียบง่าย แต่ภายใต้ความนุ่มนวลนั้นกลับแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่าง... บางอย่างที่เหมือนจะเยาะเย้ยและเหน็บแนมราวกับเขามองผมเป็นแค่ตัวตลก

" !! อึก ..ขะ ขอโทษ... "

ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจสุดขีดก่อนจะสะดุ้งตัวโหยงถอยห่างออกมาเพราะความกลัวที่แทรกลึกเข้ามาผ่านรูขุมขน

ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบใจในท่าทีของตัวเองนัก... แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะกลัวเขา

" หึ ฮ่าๆ... "

เสียงหัวเราะของเขาทั้งทุ้มต่ำและเบาบางราวกับกระซิบ แต่กลับก้องในหูผมจนหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

เขากำลังหัวเราะ? ...ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาชอบใจอะไรนัก แม้ว่าใบหน้านั่นจะถูกปิดด้วยเหล็กกล้าสีขาวแต่ผมก็รู้ว่าชายตรงหน้ากำลังทำสีหน้าพอใจที่สุดแสนจะโรคจิตอยู่แน่

ผมเม้มริมฝีปากแน่น พยายามสะบัดหน้าหนีออกจากเขาด้วยความอับอาย

" มะ มีอะไรน่าขำกัน? "

" ..อืม.. "

เขาตอบคำถามด้วยเสียงทุ้มใหญ่และเสียงหายใจแรง มันเหมือนกับเสียงของเครื่องยนต์ที่พ่นไอน้ำออกมา

ผมผวาเฮือกเพราะเสียงของมันพร้อมๆกับมือของเขาที่ยกขึ้น ผมหลับตาปี๋ตัวหดเล็กลงกลัวว่าเขาจะทำอะไรต่อไปบ้าง

แต่สุดท้ายความกลัวก็หายไปราวกับฝุ่นที่ถูกเป่าให้ปลิวไปในอากาศ เขาเพียงแค่ตบบ่าผมเบาๆสองสามทีก่อนจะตอบผมอย่างจริงจังเป็นคำพูดสักที

" ผมแค่เอ็นดูท่าทางที่คุณแสดงออกมา คุณทำเหมือนกับว่าผมเป็นหมาป่าที่กำลังล่ากระต่ายน้อย ทั้งที่ผมแสดงออกอย่างเป็นมิตรขนาดนี้แล้วแท้ๆ "

เขาเลื่อนมือขึ้นมาจับเส้นผมสีดำเงาของผมอย่างอ่อนโยนพลางพิจารณามันอย่างตั้งใจ

ผมไม่ได้ตอบอะไรทำแค่ยืนนิ่งให้เขาทำตามใจชอบต่อไปอย่างประหม่า ไม่นานนักเขาก็ดึงมือออกช้าๆก่อนที่จะถาม

" คุณชื่ออะไรครับคุณผู้ชาย "

เขาเอียงคอแต่เสียงยังคงหนาวเย็นและเรียบนิ่งราวกับไร้ความรู้สึกเหมือนทุกครั้ง

" ..ฉันชื่ออาเธอร์  อาเธอร์ เวลตัน...แล้วนาย?.. "

ผมตอบคำถามของเขาด้วยเสียงตะกุกตะกัก

ท่าทีที่เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วของชายตรงหน้าทำให้ผมไม่แน่ใจว่าเขามีจุดประสงค์อะไรและต้องการอะไรกันแน่

เขาหยุดชะงักไปสักพักก่อนที่จะตอบ

" ผมไม่แน่ใจ... แต่พวกเขามักจะเรียกผมว่าหมายเลข1 ครับ "

" ....นั่นไม่ใช่ชื่อนะ "  ผมพูด

" ถ้าเป็นแบบนั้น ผมเกรงว่าตัวเองจะไม่มีชื่อสะแล้วล่ะครับ "

เขาตอบผมอย่างไม่ทุกร้อนอะไร เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติและเขารู้อยู่แก่ใจ

ผมหรี่ตาเล็กน้อยและมองเขาไปมาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เข้าใจเลยว่าเขาใช้ชีวิตมาแบบไหนทั้งที่ตัวเองไม่มีชื่อแบบนี้

เขาเฝ้าสังเกตท่าทีของผมไปมาแต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร

" แล้ว ...นาย ..คือแบบว่าอยากมีชื่อไหม... ฉันจะตั้งให้  "

ผมรู้ว่าเขาไม่ได้คิดมากเรื่องชื่อหรือบางทีเขาอาจไม่สนใจมันด้วยซ้ำ ...แต่จะให้เรียกว่าหมายเลขหนึ่งตลอดไปมันก็เกินไปหน่อย

เขาตอบกลับผมด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะพูดต่ออย่างอ่อนโยน

" ทำตามที่คุณต้องการเลยครับอาเธอร์  "

" ...งั้นฉันจะเรียกนายว่าแม็กซ์นะ " ผมพูด

" ...แม็กซ์ ? " เขาพึมพำ

" ใช่ ......นั่นชื่อตุ๊กตาหมาสมัยเด็กของฉันเอง "

ผมอธิบายออกมาเบาๆ

เขาเอียงคอไปด้านหนึ่งอย่างชัดเจน เหมือนกำลังสื่อว่า " ทำไมล่ะ? ทำไมต้องตุ๊กตาหมาด้วย "

ผมหัวเราะออกมานิดหน่อย เมื่อคิดว่าท่าทางตอนนั้นของเขาจะเป็นแบบไหน

" มันไม่มีอะไรหรอกก็สีของนายกับเจ้าหมามันเหมือนกันก็แค่นั่นเอง "

ผมตอบกลับท่าทีของเขา

แม็กซ์หยุดชะงักพร้อมกับเสียงของเครื่องยนต์ที่ดับลงอย่างกระทันหัน ก่อนที่มันจะเริ่มดังขึ้นอีกครั้งในไม่กี่นาทีต่อมา

" นั่น....เป็นประวัติชื่อที่ดีเลยครับ "  

เขาพูดด้วยเสียงเรียบและเย็น

" อุ๊บ!!! 555 "

การตอบกลับแบบนั้นของเขาทำให้ผมขำพรืด มันเกินความคาดหมายของผมไปมากเลย

ผมหัวเราะอยู่เป็นนาทีนาที รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก แต่แล้วผมก็ต้องหยุดหัวเราะและกำลังจะหายใจไม่ออกจริงๆ

ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสียงของผู้คนรอบข้างเริ่มดังขึ้น ผมหันขวับขึ้นไปบนทางเดินมีเพียงแค่ราวกั้นเหล็กเก่าๆเท่านั้น ที่คั่นกลางระหว่างผมกับผู้คนนับสิบที่ยืนมุงดูเราอย่างสนใจใคร่รู้ บางคนหยิบกล้องและถ่ายมาอย่างจดจ่อ

ผมหน้าซีดและเริ่มถอยหลังอย่างไร้จุดหมาย ไม่เคยมีคนสนใจผมขนาดนี้มาก่อน..ไม่สิพวกเขาไม่ได้สนใจผมแต่เป็นแม็กซ์

แม็กซ์นั้นแปลกใหม่และพวกเขาไม่เคยเห็นใครหรือตัวอะไรที่มีลักษณะแบบเขามาก่อน บางคนอาจจะเข้าใจได้ว่าเขาแค่คอสเพลย์แต่สำหรับหลายๆคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง และพวกเขาคิดถูกเผงเลย

แม็กเริ่มเห็นอาการผิดปกติของผม เขาเข้ามาและจับแขนของผมไม่ให้ถอยห่างไปมากกว่านี้

  " อาเธอร์! ใจเย็นก่อน... ฟังผมนะ ไม่เป็นไร ผมอยู่ตรงนี้กับคุณ "

แม็กซ์ตะโกนชื่อผมออกมาก่อนจะลดเสียงลง ปลอบผมอย่างอ่อนโยนพลางโผ่ตัวเข้ากอดร่างที่สั่นเทิ้ม

แม้ผิวภายนอกของเขาจะเย็นเฉียบและแข็งทื่อราวกับหินแต่ผมกลับรู้สึกเบาใจเมื่อได้กอดเขากลับอย่างแนบแน่น

น่าแปลกที่มันกลับให้ความอบอุ่นอย่างประหลาด ทั้งที่ลึกๆแล้วผมยังคงหวาดกลัวและตื่นตระหนก ความรู้สึกนั้นยังคงตกค้างไม่จางหายถ้าเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป

สมองของผมเริ่มแล่นอีกครั้ง คิดหาทางออกจากสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเร่งรีบ

แต่ท้ายที่สุดผมกลับเลือกที่จะพึ่งพาคนตรงหน้า ถึงแม้เขาจะดูน่ากลัวเพียงใด แต่ทุกสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นตลอดมา มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเชื่อใจ..

" แม็กซ์ฉัน..อยากออกไปจากที่นี่ "

ผมพูดด้วยเสียงเบาและแหบแห้งอย่างน่าสมเพช

เสียงเครื่องยนต์ของเขาดังแผ่วๆอีกครั้งก่อนที่ตัวของผมจะลอยขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของร่างใหญ่ แม็กซ์ย่อตัวลงและตั้งท่าที่จะกระโดด

ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ในวินาทีต่อมาเสียงของคนบนทางเดินคนหนึ่งก็ดังเข้าช่องหูของผม

" เขากำลังจะบินขึ้นแล้วรีบๆถ่ายเอาไว้เร็วเข้า!!! "

ผมอ้าปากค้างและรีบตบไปที่อกของแม็กซ์เพื่อส่งสัญญาณให้เขาหยุด ไม่ว่าตอนนี้เขาคิดอะไรก็ตามแต่เขาจะทำแบบนั่นไม่ได้

" แม็กซ์หยุดๆ หยุดเดี๋ยวนี้!!! "

ผมกระซิบอย่างร้อนรน

ผู้คนเห็นหน้าของผมหมดแล้วและถ้าแม็กซ์ทำแบบนั้นจริงๆผมจะใช้ชีวิตต่อยังไงล่ะ ผมรีบคิดหาทางแก้ทางอื่น ผมควรจะเดินเข้าไปหาพวกเขาและบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นดีไหมหรือว่า.........!!!

ผมคิดออกแล้ววิธีนั้นต้องได้ผลแน่ ถึงแม้ว่ามันจะบ้าแต่เราก็จะรอด

" แม็กซ์.. นายแกล้งทำเป็นคนคอสเพลย์ได้ไหม แค่เดินไปหาพวกเขาแล้วบอกว่านายอยากถ่ายหนังสั้นขอโทษที่รบกวนแล้วเดินออกไปก็พอ "

ผมบอกเขาอย่างกระตือรือร้น

แม็กซ์เอียงคอเล็กน้อยราวกับครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะกลับมายืนตรงในท่าปกติดังเดิม

" ..ผมทำได้ครับ "

เมื่อเสียงตอบรับดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวกลับหลังและเดินไปข้างหน้าอย่างดุดัน

ชายชาตรีอย่างผมอับอายเล็กน้อยด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงของเขา แต่จะให้เดินไปเองตอนนี้... ก็คงจะไม่กล้า

ดังนั้นเลยทำได้แค่ดึงเสื้อกันหนาวสีดำของตัวเองขึ้นมาคลุมหน้า ที่ตอนนี้น้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่รอมมะร่อ

เสียงฮือฮาของคนหลายๆคนที่ดังทับซ้อนกันไม่เป็นภาษา เริ่มดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆตามครั้งที่แม็กซ์ก้าวเดินออกไปช้าๆ

ใบหน้าของผมเองก็เช่นกันแดงก่ำและร้อนผ่าวเหมือนลูกมะเขือเทศที่โดนอบ

" ผมเป็นคอสเพลย์ที่มาทำหนังสั้น ขออภัยที่รบกวนทุกท่านครับ "

เสียงฝีเท้าของแม็กซ์หยุดลงพร้อมกับเสียงทุ้มใหญ่ที่แผดก้องออกไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่ทิ่มแทงเข้ามาอย่างไม่ปรานี

คำถามมากมายหลั่งไหลทะลักเข้าราวกับคลื่นทะเลที่ซัดโขดหินอย่างรวดเร็วและรุนแรง....

มันยากที่จะคาดเดา น่าแปลกที่แม็กซ์ยังคงรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีหรือไม่เขาก็แค่... ตอบกลับด้วยประโยคเดิมซ้ำๆ เหมือนเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้

เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีแม้แต่การลังเลหรือเหลือบตามองใคร เหมือนคนที่ไร้จุดหมายในโลกที่กำลังจับจ้อง

แน่นอนว่ายิ่งเขาเคลื่อนไหว ผู้คนก็ยิ่งหันมามองมากขึ้นเท่านั้น เพราะการกระทำอันโดดเด่นและผิดแผกของเขา

ผมพยายามมองผ่านช่องว่างเล็กๆของเสื้อแต่ก็ไม่ชัดนัก ผมเห็นนักข่าวและตำรวจที่ยืนล้อมเราไว้ พวกเขาถามคำถามมากมายแต่แม็กซ์ยังคงพูดแต่คำเดิม

นั่นทำให้ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องทุบกำปั้นเล็กๆลงบนหน้าอกแม็กซ์สองสามทีก่อนจะออกแรงมากขึ้นเมื่อเขาไม่ตอบสนองใดๆ

" แม็กซ์ ปล่อย ฉัน ลง "

ผมกระซิบพลางกัดฟันแน่น

( ถ้าอ่านจนจบได้ สุดยอดเลยค่ะ!! )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่