เจ้าอาวาส​วัดมะเหยงคณ์ตอบเรื่องสมาธิ​สมถะ​วิปัสสนา​

กระทู้คำถาม
ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
แบบที่ ๓ ที่มีชื่อว่า
ยุคนันทสมถวิปัสสนา
เจริญสมถะ วิปัสสนาควบคู่กันไป

บางคนมันทำ ๒ แบบ ไม่ได้เลย
จะให้เจริญสมถะ
ทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ
ให้ได้ฌาน ก็ทำไม่ไหว

ให้เจริญวิปัสสนาไปเลย
รู้สภาวะรูปนามที่ปรากฏ
ก็ตั้งสติไม่อยู่ มันไหลไปหมด
ก็ต้องมาทำควบคู่กัน
ทำสมาธิไว้ด้วย ทำวิปัสสนาไปด้วย
ทำไปทั้งคู่

ยกตัวอย่าง เช่น
ถ้าเราจะทำสมาธิ โดยใช้ลมหายใจ
ก็ดูลมหายใจไว้เป็นหลัก
ดูลมเข้าลมออก ลมเข้าลมออก
แต่ก็มันมีการสลับไปรู้สภาวะ

เช่น รู้จิตด้วย รู้ลมเข้า ลมออก
แล้วก็สังเกต ก็มีจิตรู้ด้วย
ดูรู้ลมเข้า ลมออก ดูความรู้สึกด้วย
หายใจเข้า รู้สึกตึง
หายใจออก มันหย่อน ไหว
มันมีการดูสภาวะด้วย
ดูลมเข้า ลมออก ทำสมาธิ
การดูสภาวะ จะเป็นแนวทางของวิปัสสนา

การเพ่งอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งอยู่
อย่างเช่น เพ่งลมหายใจน่ะ
จะบริกรรมพุทโธ นับลมหายใจก็ตาม
มันก็เป็นแนวของการทำสมาธิ
ทำสมาธิไปด้วย สมถะ
สมถะ ก็คือความสงบ หรือสมาธิ
ทำควบคู่กัน

แล้วยิ่งเราจะเอาวิปัสสนา
คู่กับสมถะอื่น ๆ ก็ได้
ไม่ใช่เฉพาะลมหายใจ  

เช่น.สมถะอย่างอื่น
เช่นเราทำ เราฝึกจนมีนิมิต อย่างที่บอก
เกิดนิมิต เกิดแสงสว่าง
หรือเกิดเป็นดวงแก้ว ดวงไฟ

มันมีการรู้มาที่จิตใจ
แต่เดี๋ยวมันก็ไปรู้ความว่าง
เดี๋ยวไปรู้ใจ ผู้รู้  เดี๋ยวไปเพ่งนิมิต
เดี๋ยวมารู้ใจ มันสลับ มันคู่ ๆ กันก็ได้

เวลาจิตน้อมไปเพ่ง เห็นนิมิต
มันก็จะเป็นสมถะ
หรือเป็นความว่าง ก็เป็นสมถะ

แต่รู้สึกตัวมาที่จิตใจ
มันจะมาเป็นวิปัสสนา
เห็นใจมีปีติ มีความสุข อิ่มเอิบผ่องใส
มันจะเป็นการรู้สภาวะ
ทำควบคู่กันไป

หรือเราจะเอาวิปัสสนา
คู่กับการแผ่เมตตา ได้ไหม ?
แผ่เมตตานี่เป็นสมถะนะ
ที่เราแผ่เมตตา

ขอให้สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด
อย่าได้เวรซึ่งกันและกันเลย
อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อย่าได้ทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
ขอให้มีความสุขกาย สุขใจ

แต่ไม่ใช่ท่องเฉย ๆ นะ
ต้องทำจิตแผ่ออกไป แผ่ออกไป
ทำจิตแผ่ไป ให้รู้สึกว่า ไม่มีติดขัด
แผ่ไปทั่วทุกทิศ ทุกที่ ทุกชีวิต
ทั่วทุกมุมแห่งโลก
จิตใจมีเมตตา ปรารถนาดี

พอจิตมันมีเมตตา มันก็จะแช่มชื่น
ใจอิ่มเอิบ ปากยิ้มได้น่ะ มีเมตตา
แต่ในขณะที่แผ่เมตตาเนี่ย  
สามารถมีสติระลึกรู้ได้นะ
รู้สภาวะของกาย ที่มันหน้าตาคลี่คลาย
จิตใจที่แช่มชื่น

ตัวจิตใจที่แช่มชื่น อิ่มเอิบ เป็นตัวสภาวะ
หน้าตายิ้มแย้ม ก็เป็นสภาวะ
เป็นจิตตชรูป ใจอิ่ม หน้า ปากก็ยิ้ม
เราก็สามารถระลึกรู้ปากที่ยิ้ม
หรือหน้าตาที่มันคลี่คลาย เป็นสภาวะ
แล้วก็ยังแผ่อยู่ แผ่เมตตา แล้วก็รู้สภาวะ

เวลาแผ่เมตตานี่ อารมณ์ของเมตตา
เป็นสัตวบัญญัติ เป็นสัตว์บุคคล
ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุข
อารมณ์เป็นบัญญัติ

แต่เวลามีสติรู้สภาวะ ใจอิ่ม..รู้
หน้าตายิ้ม..รู้ กายใจเป็นยังไง..รู้
ก็ทำควบคู่กันไป

แล้วเราทำมาก ๆ
เวลาเราแผ่เมตตาทีไร
กลับมาเจริญวิปัสสนา
มันกลับมารู้ตัว มีสติ รู้กายใจ
เป็นโดยอัตโนมัติ

ฉะนั้น
นี่เรียกว่าเจริญสมถะ วิปัสสนาควบคู่กัน
หรือว่า เราทำสมถะได้ฌาน
เวลาฌานมันจะเพ่งอารมณ์
เพ่งนิมิต เพ่งความว่าง
แล้วก็มาระลึกรู้องค์ฌานที่เกิดขึ้น
องค์ฌาน ที่มันมีปีติ มีความสุข
มีความตั้งมั่น เป็นต้น

พอมาเพ่ง มากำหนดองค์ฌาน
มันก็จะเป็นแนวของวิปัสสนา
เดี๋ยวก็ไปเพ่งนิมิต เพ่งความว่าง
ก็จะเป็นสมถะ
มันก็จะทำสลับกันไปได้

ฉะนั้น ทุกคนทุกท่านมันก็ต้องไป
สักทางใดทางหนึ่งจนได้นะ
ทีนี้ทำยังไง เราจะรู้
เราเหมาะแบบไหน ?

(อ่านตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้)

ธรรมบรรยาย คอร์สอบรมพระสังฆาธิการ วันที่ 16 มีนาคม 2568
............................
ธัมโมวาท โดย‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่