"ไม่ควรดื่มชานมไทย เกินวันละ 1-2 แก้ว (แล้วแต่ยี่ห้อ) เพราะอาจได้รับสีผสมอาหารมากเกินไป"

กระทู้สนทนา

วันนี้ ทาง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เปิดผลทดสอบ "สีในเครื่องดื่มชานมไทย" ประจำเดือนมีนาคม 2568 ที่นิตยสาร ฉลาดซื้อ ได้เก็บตัวอย่างเครื่องดื่มชานมไทย (Thai Milk Tea) ใส่น้ำแข็ง จากร้านเครื่องดื่ม 15 ตัวอย่าง (ได้แก่ ชาตรามือ ,คาเฟ่ อเมซอน , ออล คาเฟ่ ,พันธุ์ไทย ,อินทนิล , ทรู คอฟฟี่ , เสือพ่นไฟ , อาริกาโตะ , โอชายะ , คัดสรร , กาก้า , การัน , ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน, ปังชา , และ กูโรตีชาชัก ) นำส่งวิเคราะห์หาปริมาณสีสังเคราะห์ ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กับอาหารได้ และได้ผลออกมาดังในรูปด้านล่างนี้

ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่า แล้วผลแบบนี้ แปลว่าอะไรบ้าง ? ... เลยจะนำมาตีความและสรุปให้ฟังกันนะครับ

- ตัวอย่างชานมไทยทั้ง 15 ตัวอย่าง พบสีผสมอาหาร ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ โดยบางยี่ห้อก็ใส่ 1 สี บางยี่ห้อก็ใส่มากกว่านั้น จนถึง 4 สี อันได้แก่ สี Sunset yellow FCF , สี Tartrazine , สี Ponceau 4R และ สี Carmoisine or Azorubine

- สี Sunset yellow FCF เป็นสีหลัก ที่พบในชานมไทยทุกตัวอย่าง โดยยี่ห้อที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ 1. ทรู คอฟฟี่ (ปริมาณ 291.41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) 2. กูโรตีชาชัก (ปริมาณ 250.20 มก./กก.) และ 3. ปังชา (ปริมาณ 222.26 มก./กก.)

- สี Sunset Yellow FCF (หรือสี Yellow No.6 ) เป็นสีผสมอาหาร ที่นิยมใช้เพิ่มสีสันให้กับอาหารและเครื่องดื่ม อย่างแพร่หลายทั่วโลก

- แต่ก็มีบางประเทศ ที่ได้ห้ามใช้ หรือควบคุมการใช้สีผสมอาหารนี้ เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และประเทศในโซนยุโรป เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ หาก "ใช้เกิน" กว่าปริมาณที่กำหนด

- สำหรับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ก็อนุญาตให้ใช้สีนี้ได้ โดยระบุว่า ชาที่ใส่สีจะถูกนับเป็นประเภทชาปรุงสำเร็จที่ปรุงแต่งสีกลิ่นรส ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ใส่สีผสมอาหารนี้ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (เข้าใจว่าหมายถึง "ชาผง" ก่อนที่จะนำไปชงภายหลัง) สอดคล้องตามมาตรฐานสากล

- ส่วน องค์การอนามัยโลก (WHO) ถือว่าสีชนิดนี้ ปลอดภัยสำหรับการใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อบริโภคอย่างเหมาะสม โดยกำหนดให้ใช้ไม่เกิน 4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว) ต่อวัน นั่นคือ ถ้าผู้หญิงมีน้ำหนักตัวประมาณ 55-60 กิโลกรัม ก็ไม่ควรกินเกิน 220-240 มิลลิกรัม หรือ ถ้าผู้ชายหนัก 70-75 กิโลกรัม ก็ไม่ควรกินเกิน 280-300 มิลลิกรัม

- ดังนั้น ถ้าลองเอามาคำนวณกับผลการทดสอบของ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในครั้งนี้ ก็จะหาปริมาณคร่าวๆ ของชานมไทย ที่ควรบริโภค "ไม่มากเกินไป" ในแต่ละวัน เพื่อไม่ให้บริโภคสีผสมอาหารชนิดนี้มากเกินไป ได้ครับ (และอย่าลืมว่า ในอาหารอื่นๆ ก็อาจจะมีสีสังเคราะห์ ผสมอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่ในชานมไทย)

- ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มชานมไทย (ผสมน้ำแข็ง) ของยี่ห้อ "อเมซอน" ที่ตรวจพบว่ามีสี Sunset yellow FCF อยู่ 164.36 มิลลิกรัม/กิโลกรัม(เครื่องดื่ม) โดย 1 แก้วมีปริมาตร 626 มิลลิลิตร ...

... ถ้าคิดคร่าวๆ ว่า 1 มิลลิลิตรของชานมไทย หนัก 1 มิลลิกรัม .. ก็จะได้ว่า ใน 1 แก้ว มีสี Sunset yellow FCF อยู่ประมาณ 103 มิลลิกรัม .. ซึ่งก็ประมาณครึ่งหนึ่ง ของที่แนะนำให้กินไม่เกิน ต่อน้ำหนักตัวคนทั่วไป คือประมาณ 200 กว่าๆ มิลลิกรัม (และอย่าลืมว่าในอาหารอื่นๆ ก็อาจจะมีสีผสมอยู่ด้วย) หรือแปลว่า วันหนึ่งก็ควรกินไม่เกิน 2 แก้ว

- แต่ถ้าเป็นยี่ห้อที่ตรวจพบว่ามีปริมาณของสี Sunset yellow FCF ผสมอยู่มาก เช่น ยี่ห้อ ทรู คอฟฟี่ (คือ ปริมาณ 291.41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ซึ่งมีขนาดของแก้ว 604 มิลลิลิตร ก็จะมีสี Sunset yellow FCF อยู่ประมาณแก้วละ 176 มิลลิกรัมแล้ว .. หรือแปลว่า วันหนึ่งก็ควรกินเพียงแค่ 1 แก้วพอแล้ว !

- และจะเห็นว่า ถ้ายิ่งเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวน้อย เช่น เด็ก ก็ยิ่งต้องจำกัดปริมาณของ ชานมไทย ที่จะดื่มในแต่ละวันให้น้อยลงไปอีกด้วย // ปรกติ ก็ไม่ควรดื่มชานมไทย มากเกินไปกันอยู่แล้ว เพราะมีแคลอรี่สูงมาก ทั้งจากน้ำตาลและไขมันสูง ที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มนี้

-ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนิตยสารฉลาดซื้อ ยังได้มีข้อแนะนำในการบริโภค ชานมไทย เพิ่มเติมไว้อีก ดังต่อไปนี้ครับ

1. บริโภคถ้วยขนาดเล็ก ก็เพียงพอ เมื่อซื้อดื่ม ... ถ้าทำได้คือ ชงดื่มเอง ให้เลือกเฉพาะไม่มีสีผสมอาหารสังเคราะห์

2. ไม่ดื่มบ่อยเกินไป

3. เลือกชนิดหวานน้อย เพื่อให้เป็นไปตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขคือ ลดความหวาน

4. ไม่แนะนำให้เด็กดื่ม เพราะเด็กมีระบบการขับออกของสารแปลกปลอมที่อาจจะยังไม่สมบูรณ์

5. ให้ตระหนักว่า ถ้ามีการใช้สีมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป โอกาสที่สีจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันย่อมเกิดขึ้นได้ และยากที่จะทำนายว่า ผลนั้นเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ เนื่องจากในการประเมินความเป็นพิษของสารเคมีนั้น เป็นการประเมินสารเดี่ยว ไม่เคยมีการประเมินสารที่เป็นของผสม

ที่มา : อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์