มีเพื่อนเยอะ แต่ทำไมกลับรู้สึก “โดดเดี่ยว” และ การรณรงค์ต้านภัยมะเร็งช่องปาก และ ไขข้อข้องใจโรคไส้เลื่อน

มีเพื่อนเยอะ แต่ทำไมกลับรู้สึก “โดดเดี่ยว”

ไขสงสัยอาการ "โดดเดี่ยว" ความเหงาในยุคออนไลน์ แม้จะมีเพื่อนเยอะ แต่กลับรู้สึกเหงา..
เคยเป็นกันบ้างไหมคะ?…มีเพื่อนในโซเชียลเต็มไปหมด แชตไลน์เด้งทั้งวัน โพสต์อะไรมีคนกดไลก์ไม่ขาด แต่พอปิดหน้าจอ…กลับรู้สึกว่างเปล่า เงียบเหงา และเหมือนไม่มีใครจริง ๆ อยู่ข้างเราเลย

ความเหงาในยุคที่เราเชื่อมต่อกันตลอดเวลา…เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ แม้จะดูเหมือนเรามีผู้คนอยู่รอบตัว แต่ความสัมพันธ์หลายอย่างในโลกออนไลน์อาจเป็นเพียงการเชื่อมต่อที่ผิวเผิน จนทำให้หัวใจยังคงรู้สึก “โดดเดี่ยว” อยู่ลึกๆ.. วันนี้เรามีคำแนะนำจาก “Bangkok Mental Health Hospital” มาฝากกันค่ะ..


ทำไมคนที่ดูมีเพื่อนมากมาย จึงยังรู้สึกเหงา?
1.ความสัมพันธ์ที่ไม่ลึกซึ้ง
เราอาจมี “เพื่อนออนไลน์”มากมาย แต่ถ้าการพูดคุยส่วนใหญ่เป็นเพียงคำทักทายสั้น ๆ หรือการกดไลก์โดยไม่เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริง มันอาจไม่ช่วยเติมเต็มหัวใจที่ต้องการความเข้าใจอย่างแท้จริง

2.เปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่นมากเกินไป
โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยภาพความสุข ความสำเร็จ และชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตตัวเองด้อยกว่าและโดดเดี่ยว ทั้งที่ในความเป็นจริง คนที่โพสต์ชีวิตสดใส ก็อาจกำลังซ่อนความเหงาไว้อยู่เช่นกัน

3.ไม่กล้าเปิดใจในชีวิตจริง
บางคนเก่งในโลกออนไลน์ แต่ในชีวิตจริงกลับรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ทำให้ยิ่งเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว

4.ขาดการเชื่อมต่อที่แท้จริงกับตัวเอง
เมื่อเราใช้เวลาไปกับการติดตามชีวิตคนอื่นมากเกินไป บางครั้งเราลืมที่จะหันมาทำความรู้จักกับตัวเอง ฟังเสียงข้างใน และถามตัวเองว่า… “ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร?”


จะทำอย่างไรเมื่อรู้สึกเหงาในโลกที่เหมือนมีคนอยู่รอบตัวตลอดเวลา?
-ลดเวลาอยู่หน้าจอ และใช้เวลากับคนใกล้ตัวมากขึ้น
แค่การได้พูดคุยแบบตัวต่อตัว สบตา และหัวเราะร่วมกัน อาจช่วยให้หัวใจอบอุ่นขึ้นได้
-หากิจกรรมที่ได้พบปะผู้คนแบบจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมกิจกรรมอาสา ออกกำลังกายเป็นกลุ่ม หรือเข้าคลาสเรียนอะไรใหม่ ๆ การได้พบผู้คนที่มีความสนใจคล้ายกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย
-เปิดใจพูดคุยในพื้นที่ปลอดภัย

ถ้าความเหงาเริ่มส่งผลต่อใจ จนรู้สึกเศร้า หมดพลัง หรือโดดเดี่ยวมากเกินไป การได้คุยกับนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์คือทางออกที่ไม่ควรลังเล เพราะบางครั้ง…สิ่งที่คุณต้องการ อาจเป็นเพียง “ใครสักคนที่ฟังคุณด้วยหัวใจ”.....

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4604581/




เรื่อง “เมษายน เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งช่องปาก”

มะเร็งในช่องปาก คือมะเร็งที่เกิดบริเวณ ลิ้น พื้นของช่องปาก ริมฝีปาก เหงือก เนื้อเยื่อบุในช่องปากและเพดานแข็ง อุบัติการณ์ของมะเร็งชนิดนี้ในประเทศไทยคือ 5.5 ต่อประชากร 100,000 คนในเพศชาย และ 4.3 ต่อประชากร 100,000 คนในเพศหญิง ซึ่งถือว่าพบได้บ่อย โดยคิดเป็นร้อยละ 25 ของมะเร็งศีรษะและลำคอทั้งหมด ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งในช่องปากที่สำคัญ คือ การสูบบุหรี่หรือยาเส้น และการดื่มแอลกอฮอล์ โดยการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยง 1.9 เท่าในเพศชาย และ 3 เท่าในเพศหญิงเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

ส่วนการบริโภคแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงได้สูงถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้บริโภคแอลกอฮอล์ และหากมีการสูบบุหรี่ร่วมกับการบริโภคแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้มากกว่าคนปกติได้สูงถึง 35 เท่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นอีก เช่น การเคี้ยวหมากพลู การเคี้ยวยาเส้น การใส่ฟันปลอมที่มีขนาดไม่พอดีกับช่องปาก รวมถึงสุขภาพช่องปากที่ไม่ดี เป็นต้น

               อาการของผู้ป่วยมะเร็งในช่องปาก มักมาด้วยรอยโรคในช่องปาก เช่น มีแผลหรือก้อนในช่องปากที่เป็นนานเกิน 2 สัปดาห์ ฝ้าขาวหรือรอยแดงในช่องปาก และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เจ็บในช่องปาก มีเลือดออกจากรอยโรคในช่องปาก รับประทานอาหารได้ลดลง และน้ำหนักตัวลดลง รวมไปถึงการมีก้อนที่คอ เป็นต้น

               ขั้นตอนการวินิจฉัย คือ การตัดชิ้นเนื้อที่ตำแหน่งรอยโรคในช่องปากไปตรวจเพิ่มเติมทางพยาธิวิทยา ในผู้ป่วยบางรายอาจพิจารณาทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูระยะของโรคและวางแผนการรักษาต่อไป โดยการรักษามะเร็งช่องปาก จะพิจารณาจากรอยโรคที่เกิดขึ้น และสภาวะของผู้ป่วย เช่น โรคประจำตัว  โดยหากสามารถผ่าตัดได้จะพิจารณารักษาโดยการผ่าตัดเป็นหลัก

               ในบางรายอาจมีการฉายรังสี และ/หรือการให้เคมีบำบัดร่วมด้วยหลังผ่าตัด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะทางพยาธิวิทยาของมะเร็งของผู้ป่วยรายนั้น ๆ ส่วนผู้ป่วยที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ จะให้การรักษาโดยการฉายรังสี และ/หรือการให้ยาเคมีบำบัด จะเห็นได้ว่ามะเร็งช่องปากเป็นมะเร็งที่สามารถมองเห็นรอยโรคด้วยตนเองได้ง่าย จึงแนะนำให้ทุกคนหมั่นสำรวจช่องปากตนเองอย่างสม่ำเสมอหลังแปรงฟัน โดยบริเวณต่าง ๆ ในช่องปาก สามารถสังเกตได้ดังนี้


               1. ริมฝีปาก ทั้งด้านนอกและในเยื่อบุช่องปาก โดยอาจส่องกระจกแล้วดึงริมฝีปากด้านบนและล่างเพื่อสังเกตดูเยื่อบุช่องปากด้านใน

               2. ลิ้นและใต้ลิ้นและพื้นของช่องปาก โดยแลบลิ้นหน้ากระจกเพื่อสำรวจลิ้น ขยับลิ้นไปแตะกระพุ้งแก้มแต่ละข้างเพื่อดูด้านข้างของลิ้น และกระดกลิ้นเพื่อดูใต้ลิ้นรวมถึงบริเวณพื้นของช่องปากด้วย

               3. กระพุ้งแก้ม โดยใช้นิ้วเกี่ยวมุมปากทีละข้างและสำรวจบริเวณกระพุ้งแก้ม

               4. เหงือกและเพดานปาก สังเกตได้โดยการอ้าปากก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อดูเหงือกด้านล่าง และเงยหน้าเพื่อสังเกตเหงือกด้านบนและเพดานปาก

นอกจากนี้ความเสี่ยงของมะเร็งช่องปากบางปัจจัยก็สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน เช่น การหยุดสูบบุหรี่หรือยาเส้น การหยุดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การไม่เคี้ยวหมากพลู และการรักษาสุขภาพช่องปากเป็นประจำ รวมไปถึงการพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเป็นประจำ ก็ช่วยให้เราได้ตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากได้ด้วยเช่นกัน

และหากผู้ป่วยรายใดที่มีแผลเรื้อรังในช่องปากเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการผิดปกติในช่องปาก สามารถเข้ารับการตรวจกับแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป หากท่านมีข้อสงสัย สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติผ่านทาง Facebook : สถาบันมะเร็ง

แห่งชาติ National Cancer Institute และ LINE : NCI รู้สู้มะเร็ง

ข้อมูลจาก แพทย์หญิงรจนา  ญาณสมบูรณ์ แพทย์เฉพาะทางสาขาโสต ศอ นาสิก  สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข...

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4590966/



ไขข้อข้องใจโรคไส้เลื่อน

“ไม่ใส่กางเกงชั้นใน...ไม่ได้ทำให้เป็นโรคไส้เลื่อน” ที่ผ่านมาคนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้มาก ขณะที่ นพ.ศิรสิทธิ์ เลาหทัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง

“ไม่ใส่กางเกงชั้นใน…ไม่ได้ทำให้เป็นโรคไส้เลื่อน” ที่ผ่านมาคนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้มาก ขณะที่ นพ.ศิรสิทธิ์ เลาหทัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง ระบุว่า โรคไส้เลื่อน (Hernia) เกิดจากผนังหน้าท้องของเราไม่แข็งแรง เกิดเป็นช่องว่างจนมีอวัยวะภายในช่องท้องยื่นออกมาได้ ส่วนใหญ่จะพบบริเวณขาหนีบ (Inguinal hernia) และบริเวณผนังหน้าท้อง (Ventral hernia)

“สิ่งที่สามารถยื่นออกมาได้ ก็เช่น ไขมันภายในช่องท้อง ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไปจนถึงกระเพาะปัสสาวะ”

ส่วนโรคไส้เลื่อนชนิดอื่น ๆ ที่พบได้ไม่บ่อยนัก ได้แก่ ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia) ที่สัมพันธ์กับโรคกรดไหลย้อนและโรคไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator Hernia) ที่มีโอกาสทำให้เกิดลำไส้ขาดเลือดได้สูง

ทั้งนี้ อาการของโรคไส้เลื่อนก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งและชนิดของโรค เช่น

1.ไส้เลื่อนขาหนีบ (Inguinal hernia)จะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรยุบ ๆโผล่ ๆ ใกล้ ๆ กับขาหนีบ บางครั้งอาจจะมีอาการปวดร้าวไปบริเวณอัณฑะหรือขาหนีบได้ โดยมักจะมีอาการเวลา เบ่ง ไอ จาม ลุกขึ้นยืน หรือเดิน เมื่ออาการเป็นหนักมากขึ้นจะมีอาการปวดตลอดเวลา หรือมีอาการอุดตัน และขาดเลือดของลำไส้ได้


2.ไส้เลื่อนผนังหน้าท้อง (Ventral hernia, Incisional hernia) จะรู้สึกเหมือนมีก้อนยุบ ๆ โผล่ๆ บริเวณหน้าท้อง ส่วนใหญ่จะพบบริเวณตรงกลางหน้าท้อง สะดือ หรือบริเวณแผลผ่าตัด เมื่อเป็นมากจะเริ่มมีอาการปวด มีการอุดตันของลำไส้ และเกิดการขาดเลือดได้เช่นเดียวกัน

3.ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia) จะเป็นโรคที่ไม่ค่อยคุ้นในคนไทย แต่ในปัจจุบันสามารถพบได้บ่อยมากขึ้น ในผู้ที่น้ำหนักเกิน และสัมพันธ์กับโรคกรดไหลย้อน

4.ไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator hernia) พบได้ไม่บ่อย โดยจะสัมพันธ์กับผู้สูงอายุ ที่กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง ซึ่งมีโอกาสการเกิดลำไส้อุดตัน และขาดเลือดได้สูง อาการเริ่มต้นคือ ปวดท้อง บิด ๆ ตลอดเวลา ไม่สามารถสังเกตก้อนได้จากภายนอก ต้องอาศัยการตรวจซีทีสแกน (CT scan) เพิ่มเติมบริเวณช่องท้อง

นพ.ศิรสิทธิ์ บอกว่า สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไส้เลื่อน มีอยู่ 2 ประการ คือ

1.ปัจจัยที่ทำให้เพิ่มแรงดันในช่องท้อง ได้แก่ อาการท้องผูกเรื้อรัง ปัสสาวะลำบาก การยกของหนัก การตั้งครรภ์ โรคอ้วน อาการไอเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นจากการสูบบุหรี่ หรือ โรคประจำตัวก็ตาม

2.ปัจจัยที่ทำให้ผนังหน้าท้องเราอ่อนแอ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น มีความผิดปกติของผนังหน้าท้องแต่กำเนิด หรือมีประวัติเคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน

โดยปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยไส้เลื่อนได้จากการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนขาหนีบ หรือไส้เลื่อนผนังหน้าท้อง แต่ในกรณีไส้เลื่อนชนิดอื่น ๆ หรือไส้เลื่อนที่มีขนาดเล็ก อาจจะต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การทำ CT scan, MRI, หรือส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น


ทั้งนี้ การผ่าตัดโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการเย็บซ่อมแซมบริเวณผนังหน้าท้อง และเสริมความแข็งแรงด้วยตาข่ายเพื่อลดการกลับเป็นซ้ำ โดยในอดีตการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคไส้เลื่อนจะเป็นการผ่าตัดแบบเปิดซึ่งมีแผลเป็นขนาดใหญ่เกือบ 10 ซม. และฟื้นตัวได้ช้า แต่ในปัจจุบันมีงานวิจัยรองรับมากมายว่า การผ่าตัดส่องกล้องเพื่อรักษาโรคไส้เลื่อน ช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บแผลน้อย ฟื้นตัวไวกว่าการผ่าตัดแบบเปิด โดยจะผ่าตัดผ่านแผลเล็ก ๆขนาดไม่เกิน 1 ซม. ซึ่งจะเป็นซ่อมแซมผนังหน้าท้องจากภายใน และอีกหนึ่งข้อดีที่สำคัญคือสามารถผ่าตัดไส้เลื่อนทั้ง 2 ข้างได้พร้อมกัน โดยผ่านแผลเดียวกัน

นอกจากนี้ยังต้อง ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อช่วยลดการกลับเป็นซ้ำ เช่น การรักษาโรคปัสสาวะลำบาก ท้องผูกเรื้อรัง รักษาสาเหตุอาการไอเรื้อรัง เลิกบุหรี่ ลดน้ำหนักส่วนเกิน

หากใครเริ่มมีอาการแล้ว แนะนำให้เข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยสามารถติดตามหรือสอบถามรายละเอียดของโรคได้ที่ Line@dr.sirasit, Tiktok@dr.sirasit, Instagram@dr.sirasit และ เฟซบุ๊กหมอโจอี้ นพ.ศิรสิทธิ์ เลาหทัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางผ่าตัดส่องกล้อง....

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4601478/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่