จดเลย! 3 แนวทางการปรับสมดุลฮอร์โมนในหญิงวัยทอง และ รพ.เมตตาฯ ชู ReLEx SMILE

เตรียมจดกันเลย! 3 แนวทางการปรับสมดุลฮอร์โมน "หญิงวัยทอง" เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว

เมื่อพูดถึง “วัยทอง” เป็นคำที่ผู้หญิงหลายๆคนต่างก็ต้องเตรียมใจที่จะเจอกันในไท้ช้าก็เร็ว ซึ่งตามปกติแล้ว เรามักจะนึกถึงอาการหงุดหงิด อารมณ์ไม่คงที่จนทำเอาหลายๆคนไม่อยากจะเข้าใกล้ แต่จะทำอย่างไรให้อาการดังกล่าวลดน้อยลง จนเปิดเป็นความสุขทั้งคนเป็นวัยทองและคนรอบข้าง

วันนี้ Healthy Clean จึงขอพาไปพูดคุยกับ พญ.จารุวรรณ สังข์มาลา แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม แผนกเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ (Diabetes Thyroid & Endocrine Department) โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายเกี่ยวกับอาการของหญิงวัยทอง และวิธีการปรับสมดุลฮอร์โมนได้อย่างไรบ้าง เพื่อนำไปสังเกตตนเองหรือคนรอบข้าง นำไปสู่การรักษาช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว

โดยคุณหมอได้เผยว่า “วัยทองเป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของผู้หญิง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมนหลัก ได้แก่ เอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมรอบเดือนและระบบสืบพันธุ์” ช่วงวัยทองมักเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 45-55 ปี และอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจที่หลากหลาย การปรับสมดุลฮอร์โมนในหญิงวัยทอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบทความให้ความรู้โดย

อาการของวัยทอง เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง หญิงวัยทองมักจะประสบกับอาการต่าง ๆ เช่น
-อาการร้อนวูบวาบ (Hot Flashes): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งทำให้รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในตอนกลางคืน
-เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน: อาการนี้อาจทำให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่องและส่งผลต่อคุณภาพการนอน
-การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: อาจเกิดอาการหงุดหงิดง่าย วิตกกังวล หรือมีอารมณ์ซึมเศร้า
-ช่องคลอดแห้ง: เกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ส่งผลให้เยื่อบุช่องคลอดบางลงและแห้ง ทำให้รู้สึกไม่สบายเมื่อมีเพศสัมพันธ์
-กระดูกบางลง: ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทในการรักษาความแข็งแรงของกระดูก เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง กระดูกจึงอาจอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน

การปรับสมดุลฮอร์โมน การปรับสมดุลฮอร์โมนในหญิงวัยทองสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ซึ่งแต่ละวิธีจะช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นและส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น ดังนี้
1.การใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT)
การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนเป็นวิธีที่แพทย์มักแนะนำเพื่อช่วยปรับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ยาเม็ด หรือเจลทาผิว การใช้ฮอร์โมนทดแทนสามารถช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน และอาการช่องคลอดแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การใช้ฮอร์โมนทดแทนควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือมะเร็งในผู้ที่มีความเสี่ยง การติดตามการใช้ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

2.การปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน
อาหารที่เหมาะสม: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ แคลเซียมจากนมและผลิตภัณฑ์นม เพื่อเสริมสร้างกระดูก และอาหารที่มีไขมันดี เช่น ถั่วและปลา จะช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวม นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการร้อนวูบวาบได้ อาหารบางชนิดเช่น ถั่วเหลือง ที่มีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย การรับประทานถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ในปริมาณที่พอเหมาะอาจช่วยลดอาการร้อนวูบวาบและบรรเทาอาการวัยทองได้
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน วิ่งเบา ๆ หรือการฝึกโยคะ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน และยังช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น

3.การจัดการความเครียด ความเครียดมีผลกระทบโดยตรงต่อฮอร์โมนในร่างกาย การจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิ การฝึกหายใจลึก ๆ หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำสวน จะช่วยลดความเครียดและส่งเสริมความสมดุลทางอารมณ์

“การปรับสมดุลฮอร์โมนในหญิงวัยทองเป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้ฮอร์โมนทดแทน การปรับอาหารและการออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การปรึกษาแพทย์และการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้หญิงวัยทองมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาวนะคะ” พญ.จารุวรรณ เผยทิ้งท้าย.....

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4520075/



รพ.เมตตาฯ ชู ReLEx SMILE เปิดค่าการมองเห็น ผู้มีปัญหาสายตา

เดิม “ปัญหาสายตา” ก็มีหลายปัจจัยเป็นตัวกระตุ้นอยู่แล้ว ยิ่งปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาคนติดจอกันมากขึ้นปัญหาสายตายิ่งมีเพิ่มขึ้นเป็นทวี สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาการมองเห็นนั้น การตัดแว่นสายตาก็เป็นวิธีที่นิยม
เดิม “ปัญหาสายตา” ก็มีหลายปัจจัยเป็นตัวกระตุ้นอยู่แล้ว ยิ่งปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาคนติดจอกันมากขึ้นปัญหาสายตายิ่งมีเพิ่มขึ้นเป็นทวี สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาการมองเห็นนั้น การตัดแว่นสายตาก็เป็นวิธีที่นิยม แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีการแก้ไขปัญหาสายตาโดยใช้เทคนิคทางการแพทย์ เช่น การทำเลสิก (LASIK)

ทั้งนี้ นพ.ไพโรจน์ สุรัชวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า การแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์หรือเลสิก ช่วยแก้ไขสายตาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ซึ่งวิธีนี้เป็นการรักษาภาวะสายตาผิดปกติอย่างถาวร การทำเลสิกช่วยให้สายตาสั้น ยาว หรือเอียงลดลงจากเดิมจนใกล้เคียงค่าสายตาปกติได้ การแก้ปัญหาสายตาด้วยวิธีเลสิก สามารถช่วยให้กลับมามีการมองเห็นที่ชัดเจน เพราะการทำเลสิกเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นที่นิยมทั่วโลก

“ข้อดีของการทำเลสิก คือสามารถแก้ไขปัญหาความผิดปกติของสายตาให้กลับมามองเห็นชัดเจนได้อย่างถาวร และใช้เวลาในการผ่าตัดระยะสั้น แต่ให้ความแม่นยำสูง ระคายเคืองตาน้อย ปลอดภัยสูงภาวะแทรกซ้อนน้อย”


ขณะที่ นพ.อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) บอกว่า ศูนย์เลสิกได้นำเครื่องเลเซอร์ชนิดเฟมโตเซคคั่นรุ่น visumax และชนิดเอ็กไซเมอร์ รุ่น MEL-90 เป็นเครื่องเลเซอร์รุ่นใหม่ เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี 2 เครื่อง มาเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ทันสมัยปลอดภัย ด้วย นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการแก้ไขสายตาด้วยรีเล็กซ์สไมล์ (ReLEx SMILE) เพื่อพัฒนาให้ทันสมัย ให้ประชาชนได้รับการรักษาที่มีคุณภาพระดับสากล เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนที่มีความสนใจการรักษาด้วยวิธีเลสิกเพิ่มมากขึ้น ด้วยค่ารักษาในราคาที่เหมาะสม คุณภาพมาตรฐานสากล


ขณะที่ พญ.นวลจิรา ประกายรุ้งทอง นายแพทย์เชี่ยวชาญ หัวหน้าหน่วยกระจกตาและแก้ไขสายตาผิดปกติ อธิบายเพิ่มเติมว่า ReLEx SMILE เป็นเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่มีแผลเล็กใช้เลเซอร์ Femtosecond laser ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ล่าสุด แยกชั้นกระจกตาเป็นรูปเลนส์ (lenticule) ภายในกระจกตา และนำเลนส์ที่ตัดไว้นั้นออกมาผ่านแผลเปิดเล็ก ๆ ที่กระจกตาขนาดประมาณ 2-4 มิลลิเมตรเท่านั้น เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสมกับค่าสายตาที่ต้องการแก้ไข

การผ่าตัดแก้ไขสายตาแผลเล็กแบบไร้ใบมีด นับว่าเป็นเทคโนโลยีและเทคนิคแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติแบบแผลเล็กที่มีความแม่นยำสูงและผลข้างเคียงน้อยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งทำให้แผลหายเร็ว มีอาการระคายเคืองตาหลังผ่าตัดน้อยมากเมื่อเทียบกับเลสิกแบบเดิม และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติหลังจากผ่าตัดเพียงไม่กี่วัน เนื่องจากการใช้วิธี ReLEx SMILE จะมีแผลเปิดที่กระจกตาเล็กมากทำให้รบกวนเส้นประสาทบริเวณกระจกตาน้อยกว่าเลสิกแบบเดิมเป็นผลให้ตาแห้งน้อยกว่า โดยที่ค่าสายตาหลังผ่าตัดคำนวณได้อย่างแม่นยำ และผลข้างเคียงน้อยที่สุดในปัจจุบัน โดยอัตราค่าบริการในการทำประมาณ 75,000 บาท

สำหรับผู้ที่เหมาะสมสำหรับการทำเลสิกนั้นต้องอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่มีโรคของกระจกตาหรือภาวะตาแห้งหรือโรคตาอื่นๆ เช่น โรคจอตาเสื่อมหรือโรคทางกายที่มีผลต่อการสมานแผลกระจกตา ไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่อยู่ในระหว่างการใช้ยารักษาในกลุ่ม Isotretinoin หรือการใช้ฮอร์โมน มีความเข้าใจและความคาดหวังเกี่ยวกับผลการทำเลสิกที่ถูกต้อง เช่น เลสิกไม่สามารถแก้ไขภาวะสายตาผู้สูงอายุได้ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปอาจจะต้องใช้แว่นสายตาช่วยในการมองระยะใกล้หลังทำเลสิกหรือแก้ไขสายตาโดยเทคนิค monovision และผลลัพธ์หลังการทำอาจแตกต่างกันได้ในแต่ละบุคคล


ในส่วนการเตรียมตัวก่อนการทำเลสิกนั้น จักษุแพทย์จะนัดมาตรวจสภาพตาโดยละเอียด และควรงดใส่คอนแทค เลนส์อย่างน้อย 7 วัน สำหรับเลนส์ชนิดนิ่ม และ 2 สัปดาห์สำหรับเลนส์ชนิดแข็ง โดยจักษุแพทย์จะตรวจประเมินอย่างละเอียดโดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม. ซึ่งมีรายการตรวจดังนี้ การตรวจวัดค่าสายตาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ การทดสอบการมองเห็น การวัดความดันลูกตา การตรวจและวัดค่าสายตาโดยจักษุแพทย์ การวัดปริมาณน้ำตา การถ่ายภาพพื้นผิวกระจกตา และวัดความหนาของกระจกตา การหยอดขยายม่านตา การตรวจสภาพจอประสาทตาอย่างละเอียดสามารถนัดตรวจปรึกษาและผ่าตัดในวันเดียวกันได้


และในส่วนของวิธีเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ควรสระผมก่อนมาเข้ารับการผ่าตัด และใส่เสื้อแบบผ่าหน้า หรือมีกระดุม ควรมีญาติมาด้วย เนื่องจากหลังผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องใส่ที่ครอบตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือขยี้ตา ควรใส่ที่ครอบตาเวลานอนประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเผลอขยี้ตา ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ไม่ควรเพ่งสายตามากเกินไปและหยอดตาให้ครบตามที่จักษุแพทย์สั่ง หากมีอาการผิดปกติควรพบจักษุแพทย์

สำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตาผิดปกติต่อไป สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เบอร์โทร. 0-3438-8700 ต่อ 9236 หรือมือถือ 06-1413-8860 (ในเวลาราชการ) Facebook : ศูนย์เลสิกเมตตา-Metta lasik Center, ID Line : @lasikmetta

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4553756/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่