หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย
มาตรา ๒๖
ในการใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา ๒๗
สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรา ใช้ และตีความกฎหมาย
มาตรา ๒๘
บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือศีลธรรมอันดี
บุคคลซึ่งสิทธิและเสรีภาพของตนที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกละเมิด สามารถอ้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อยื่นฟ้องหรือปกป้องตนเองในศาลได้
มาตรา 29
การจำกัดสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญไม่อาจบังคับใช้กับบุคคลใดได้ เว้นแต่โดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนด และเฉพาะในขอบเขตที่จำเป็นเท่านั้น และทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว
กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีการใช้บังคับโดยทั่วไป และไม่มีเจตนาให้ใช้บังคับกับกรณีหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายไว้ด้วย
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งและวรรคสองให้ใช้บังคับ แก่กฎหรือข้อบังคับที่ออกโดย อาศัยอำนาจ ตามบทบัญญัติของกฎหมายโดยอนุโลม
มาตรา 30
บุคคลย่อมเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายและได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน
ชายและหญิงควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยไม่เป็นธรรมโดยอาศัยความแตกต่างในด้านแหล่งกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางร่างกายหรือสุขภาพ สถานะส่วนบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษา หรือทัศนคติทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ จะไม่ได้รับอนุญาต
มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม
มาตรา 31
บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของตน
การทรมาน การกระทำอันโหดร้าย หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม การลงโทษด้วยโทษประหารชีวิตตามที่กฎหมายบัญญัติจะไม่ถือเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามวรรคนี้
การจับกุม กักขัง หรือค้นตัวบุคคลหรือการกระทำอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย
มาตรา 32
บุคคลใดจะต้องถูกลงโทษทางอาญาไม่ได้ เว้นแต่บุคคลนั้นได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่กระทำความผิดบัญญัติให้เป็นความผิดและกำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นต้องไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่กระทำความผิด
มาตรา 33
ผู้ต้องสงสัยหรือจำเลยในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ก่อนที่จะมีการพิพากษาขั้นสุดท้ายว่าบุคคลใดกระทำความผิด บุคคลดังกล่าวจะไม่ได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็นผู้ต้องโทษ
มาตรา 34
สิทธิของบุคคลในครอบครัว ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง หรือสิทธิความเป็นส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครอง
การยืนยันหรือการส่งต่อข้อความหรือภาพในลักษณะใดๆ ก็ตามต่อสาธารณชนซึ่งละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิในครอบครัว ศักดิ์ศรี ชื่อเสียงหรือสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคลใด จะกระทำไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน
มาตรา 35
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการอยู่อาศัย
บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองในการอยู่อาศัยอย่างสงบสุขในและในการครอบครองที่อยู่อาศัยของตน การเข้าไปในที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ครอบครองหรือการค้นที่อยู่อาศัยนั้นจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามกฏหมาย
มาตรา 36
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและมีเสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่ภายในราชอาณาจักร
การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่งไม่อาจบังคับใช้ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะเพื่อรักษาความปลอดภัยของรัฐ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน สวัสดิการสาธารณะ การวางแผนเมืองและชนบท หรือสวัสดิการของเยาวชน
ห้ามมิให้บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเนรเทศหรือห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร
มาตรา 37
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารโดยวิธีอันชอบด้วยกฎหมาย
การเซ็นเซอร์ การกักขัง หรือการเปิดเผยการสื่อสารระหว่างบุคคล รวมทั้งการกระทำใดๆ ที่เปิดเผยข้อความในการสื่อสารระหว่างบุคคล จะไม่กระทำได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะเพื่อความปลอดภัยของรัฐ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
มาตรา 38
บุคคลย่อมมีเสรีภาพเต็มที่ในการนับถือศาสนา นิกายทางศาสนา หรือลัทธิทางศาสนา และต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนาหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อถือของตน ทั้งนี้ จะต้องไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมือง ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวในวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองจากการกระทำของรัฐใด ๆ ที่เป็นการเสื่อมเสียสิทธิหรือเสียหายต่อประโยชน์อันควรได้ของตนด้วยเหตุแห่งการนับถือศาสนา นิกายหรือความเชื่อทางศาสนา หรือการปฏิบัติตามหลักศาสนา หรือการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อที่แตกต่างจากบุคคลอื่น
มาตรา 39
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การแสดงคำพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการแสดงออกโดยวิธีการอื่นๆ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งไม่อาจกระทำได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการป้องกันความเสื่อมโทรมของจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน
การปิดโรงพิมพ์หรือสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์อันเป็นการลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะไม่เกิดขึ้น
การที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตรวจพิจารณาข่าวหรือบทความก่อนจะเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ จะกระทำไม่ได้ เว้นแต่ในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือการสู้รบ ทั้งนี้ ต้องกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นตามวรรคสอง
เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องมีสัญชาติไทยตามที่กฎหมายบัญญัติ
รัฐจะไม่ให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเพื่อเป็นการอุดหนุนหนังสือพิมพ์เอกชนหรือสื่อมวลชนอื่นใด
มาตรา 40
คลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคม เป็นแหล่งทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ให้มีองค์กรกำกับดูแลอิสระมีหน้าที่จัดจำหน่ายคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง และกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในการดำเนินการตามวรรคสอง ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะสูงสุดในระดับชาติและท้องถิ่นในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์สาธารณะอื่นๆ รวมถึงการแข่งขันที่เป็นธรรมและเสรี
มาตรา 41
เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างในภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการดังกล่าว ทั้งนี้ จะต้องไม่ขัดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ได้รับสิทธิเสรีภาพเช่นเดียวกับข้าราชการหรือลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง
มาตรา 42
บุคคลย่อมมีเสรีภาพทางวิชาการ
การศึกษา การฝึกอบรม การเรียนรู้ การสอน การวิจัย และการเผยแพร่ผลงานวิจัยดังกล่าวตามหลักวิชาการ ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
มาตรา 43
บุคคลย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี โดยที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาโดยรัฐต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนตามที่กฎหมายบัญญัติ
การจัดการศึกษาโดยองค์กรวิชาชีพและภาคเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ย่อมได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา 44
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่งไม่อาจบังคับใช้ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะและเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนในการใช้สถานที่สาธารณะหรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างการประกาศภาวะฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก
มาตรา 45
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน หรือกลุ่มอื่นใด
การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่งไม่อาจบังคับใช้ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันการผูกขาดทางเศรษฐกิจ
มาตรา 46
บุคคลซึ่งรวมตัวกันเป็นชุมชนตามประเพณีย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูขนบธรรมเนียม ความรู้ท้องถิ่น ศิลปะ หรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุงรักษา อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา 47
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชน และดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองเพื่อสนองเจตนารมณ์ดังกล่าวโดยผ่านการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
การจัดองค์กรภายใน การจัดการ และการบังคับใช้ระเบียบของพรรคการเมืองต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมือง ไม่น้อยกว่าจำนวนตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนด หากเห็นว่ามติหรือข้อบังคับของพรรคการเมืองของตนในเรื่องใดขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีสิทธิส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือระเบียบดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มติหรือระเบียบดังกล่าวให้เป็นอันตกไป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนที่ ๒
ในการใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้
สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรา ใช้ และตีความกฎหมาย
บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือศีลธรรมอันดี
การจำกัดสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญไม่อาจบังคับใช้กับบุคคลใดได้ เว้นแต่โดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนด และเฉพาะในขอบเขตที่จำเป็นเท่านั้น และทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว
บุคคลย่อมเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายและได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน
บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของตน
บุคคลใดจะต้องถูกลงโทษทางอาญาไม่ได้ เว้นแต่บุคคลนั้นได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่กระทำความผิดบัญญัติให้เป็นความผิดและกำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นต้องไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่กระทำความผิด
ผู้ต้องสงสัยหรือจำเลยในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
สิทธิของบุคคลในครอบครัว ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง หรือสิทธิความเป็นส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครอง
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการอยู่อาศัย
บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองในการอยู่อาศัยอย่างสงบสุขในและในการครอบครองที่อยู่อาศัยของตน การเข้าไปในที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ครอบครองหรือการค้นที่อยู่อาศัยนั้นจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามกฏหมาย
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและมีเสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่ภายในราชอาณาจักร
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารโดยวิธีอันชอบด้วยกฎหมาย
บุคคลย่อมมีเสรีภาพเต็มที่ในการนับถือศาสนา นิกายทางศาสนา หรือลัทธิทางศาสนา และต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนาหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อถือของตน ทั้งนี้ จะต้องไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมือง ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การแสดงคำพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการแสดงออกโดยวิธีการอื่นๆ
คลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคม เป็นแหล่งทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างในภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการดังกล่าว ทั้งนี้ จะต้องไม่ขัดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
บุคคลย่อมมีเสรีภาพทางวิชาการ
บุคคลย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี โดยที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน หรือกลุ่มอื่นใด
บุคคลซึ่งรวมตัวกันเป็นชุมชนตามประเพณีย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูขนบธรรมเนียม ความรู้ท้องถิ่น ศิลปะ หรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุงรักษา อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชน และดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองเพื่อสนองเจตนารมณ์ดังกล่าวโดยผ่านการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้