รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนที่ ๑

กระทู้สนทนา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐


ขอให้มีความดีงาม วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตามปฏิทินจันทรคติ คือ วันเสาร์ วันขึ้น ๑๑ ตุลาคม ตามปฏิทินสุริยคติ ปี ๒๕๔๐ พุทธศักราช ๒๕๔๐

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรมาศ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่รัฐธรรมนูญได้มีการประกาศใช้เป็นหลักการในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า ๖๕ ปีแล้ว และได้มีการยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง ย่อมปรากฏชัดว่ารัฐธรรมนูญนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ในประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญจะต้องวางกฎเกณฑ์พื้นฐานให้ชัดเจนเพื่อเป็นหลักการในการบริหารราชการแผ่นดิน และต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นให้สอดคล้องด้วย และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 ได้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภา ๙๙ คน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อเป็นรากฐานในการปฏิรูปการเมือง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระพรในการปฏิบัติภารกิจนี้ และสภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น โดยมีสาระสำคัญ คือ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพิ่มเติม จัดให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตลอดจนปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นพิเศษ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 ทุกประการ

รัฐสภาได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำขึ้นโดยรอบคอบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศแล้ว จึงมีมติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พระมหากษัตริย์ทรงพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญโดยละเอียดแล้ว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นใช้บังคับ ตามมติของรัฐสภา

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขึ้นใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2534 ตั้งแต่วันที่ประกาศใช้เป็นต้นไป

ขอให้พสกนิกรชาวไทยจงสามัคคีกันรักษา พิทักษ์ และยึดมั่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยอันมีมาจากปวงชนชาวไทย และให้นำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และศักดิ์ศรีแก่พสกนิกรทั่วราชอาณาจักร ตามพระประสงค์ของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ

บทที่ ๑ บทบัญญัติทั่วไป

บทที่ 1
ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียวและแยกจากกันไม่ได้

มาตรา 2
ประเทศไทยใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 3
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจดังกล่าวผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 4
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา 5
ประชาชนชาวไทยไม่ว่าจะมีถิ่นกำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญนี้เท่าเทียมกัน

มาตรา 6
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ บทบัญญัติของกฎหมาย กฎ หรือระเบียบใดที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมใช้บังคับไม่ได้

มาตรา ๗
ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

บทที่ 2 ราชา

มาตรา ๘
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพบูชา ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือดำเนินคดีพระมหากษัตริย์ไม่ได้

มาตรา ๙
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนและผู้นับถือศาสนา

มาตรา 10
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งกองทัพไทย

มาตรา 11
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการสถาปนาบรรดาศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

มาตรา ๑๒
พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นประธานสภาองคมนตรี และแต่งตั้งสมาชิกสภาองคมนตรีไม่เกินสิบแปดคนเพื่อประกอบเป็นสภาองคมนตรี สภาองคมนตรีมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่พระมหากษัตริย์ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่ของพระองค์เท่าที่พระองค์จะทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๑๓
การเลือกสรร การแต่งตั้ง หรือการถอดถอนองคมนตรี ให้เป็นไปตามพระอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนประธานองคมนตรี ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนองคมนตรีอื่น

มาตรา ๑๔
องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง และต้องไม่แสดงความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง

มาตรา 15
ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้

“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะยึดมั่นและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

มาตรา 16
องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 17
การแต่งตั้งและการปลดข้าราชการในราชวงศ์และเสนาบดีประจำพระองค์ออกจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามความพอพระทัยของพระมหากษัตริย์เท่านั้น

มาตรา ๑๘
ในเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ประทับอยู่ในพระราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเรื่องการนั้น

มาตรา ๑๙
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือพระมหากษัตริย์ไม่อาจแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ เพราะพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ หรือด้วยเหตุอื่นใด คณะองคมนตรีต้องเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ประธานรัฐสภาต้องประกาศในพระนามพระมหากษัตริย์เพื่อแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง

มาตรา ๒๐
ในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ ให้ประธานสภาองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการพระองค์ เป็นการชั่วคราว

ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานคณะองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการ ชั่วคราว

ในระหว่างที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคสอง ประธานสภาองคมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาองคมนตรีไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้สภาองคมนตรีเลือกสมาชิกสภาองคมนตรีคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานสภาองคมนตรีเป็นการ ชั่วคราว

มาตรา ๒๑
ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการต่อรัฐสภาด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้

“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอประกาศด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระนามพระมหากษัตริย์) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะยึดมั่นและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาจะทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้

มาตรา ๒๒
ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗

การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชธานี พุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงริเริ่มแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชธานี แล้วทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพิจารณา เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบและลงพระปรมาภิไธยแล้ว ประธานพระราชบัญญัติราชธานีจะแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบเพื่อแจ้งให้รัฐสภาทราบ ประธานรัฐสภาจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และพระราชบัญญัติราชธานีจะมีผลใช้บังคับเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นรัฐสภาในการรับทราบเรื่องตามวรรคสอง

มาตรา ๒๓
ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนารัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ แล้วประธานรัฐสภาอัญเชิญรัชทายาทขึ้นครองราชย์ และประกาศให้รัชทายาทขึ้นครองราชย์

ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชบัลลังก์ตามมาตรา ๒๒ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ อาจเสนอพระนามเจ้าหญิงก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญผู้สืบราชบัลลังก์ขึ้นครองราชย์ และประกาศให้พระมหากษัตริย์สืบราชบัลลังก์นั้น

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาต้องทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาในการรับทราบเรื่องตามวรรคหนึ่ง หรือในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง

มาตรา ๒๔
ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการประกาศพระนามรัชทายาทหรือผู้สืบราชบัลลังก์ตามมาตรา ๒๓ ให้ประธานคณะองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ เป็นการชั่วคราวในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงในระหว่างที่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ หรือในระหว่างที่ประธานคณะองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วแต่กรณียังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศพระนามรัชทายาทหรือผู้สืบราชบัลลังก์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งและยังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่งไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานสภาองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการ ชั่วคราว

ในกรณีที่ประธานสภาองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสอง ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๐ วรรคสาม มาใช้บังคับ

มาตรา ๒๕
ในกรณีที่คณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๙ หรือมาตรา ๒๓ วรรคสอง หรือในกรณีที่ประธานคณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ วรรคสอง และในระหว่างนั้นไม่มีประธานคณะองคมนตรีอยู่ หรือประธานคณะองคมนตรีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะองคมนตรีที่เหลืออยู่เลือกกันเองคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานคณะองคมนตรี หรือปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ วรรคสาม แล้วแต่กรณี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่