รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐
ขอให้มีความดีงาม วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตามปฏิทินจันทรคติ คือ วันเสาร์ วันขึ้น ๑๑ ตุลาคม ตามปฏิทินสุริยคติ ปี ๒๕๔๐ พุทธศักราช ๒๕๔๐
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรมาศ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่รัฐธรรมนูญได้มีการประกาศใช้เป็นหลักการในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า ๖๕ ปีแล้ว และได้มีการยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง ย่อมปรากฏชัดว่ารัฐธรรมนูญนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ในประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญจะต้องวางกฎเกณฑ์พื้นฐานให้ชัดเจนเพื่อเป็นหลักการในการบริหารราชการแผ่นดิน และต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นให้สอดคล้องด้วย และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 ได้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภา ๙๙ คน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อเป็นรากฐานในการปฏิรูปการเมือง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระพรในการปฏิบัติภารกิจนี้ และสภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น โดยมีสาระสำคัญ คือ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพิ่มเติม จัดให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตลอดจนปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นพิเศษ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 ทุกประการ
รัฐสภาได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำขึ้นโดยรอบคอบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศแล้ว จึงมีมติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พระมหากษัตริย์ทรงพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญโดยละเอียดแล้ว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นใช้บังคับ ตามมติของรัฐสภา
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขึ้นใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2534 ตั้งแต่วันที่ประกาศใช้เป็นต้นไป
ขอให้พสกนิกรชาวไทยจงสามัคคีกันรักษา พิทักษ์ และยึดมั่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยอันมีมาจากปวงชนชาวไทย และให้นำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และศักดิ์ศรีแก่พสกนิกรทั่วราชอาณาจักร ตามพระประสงค์ของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ
บทที่ ๑ บทบัญญัติทั่วไป
บทที่ 1
ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียวและแยกจากกันไม่ได้
มาตรา 2
ประเทศไทยใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา 3
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจดังกล่าวผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา 4
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง
มาตรา 5
ประชาชนชาวไทยไม่ว่าจะมีถิ่นกำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญนี้เท่าเทียมกัน
มาตรา 6
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ บทบัญญัติของกฎหมาย กฎ หรือระเบียบใดที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมใช้บังคับไม่ได้
มาตรา ๗
ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
บทที่ 2 ราชา
มาตรา ๘
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพบูชา ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือดำเนินคดีพระมหากษัตริย์ไม่ได้
มาตรา ๙
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนและผู้นับถือศาสนา
มาตรา 10
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งกองทัพไทย
มาตรา 11
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการสถาปนาบรรดาศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
มาตรา ๑๒
พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นประธานสภาองคมนตรี และแต่งตั้งสมาชิกสภาองคมนตรีไม่เกินสิบแปดคนเพื่อประกอบเป็นสภาองคมนตรี สภาองคมนตรีมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่พระมหากษัตริย์ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่ของพระองค์เท่าที่พระองค์จะทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา ๑๓
การเลือกสรร การแต่งตั้ง หรือการถอดถอนองคมนตรี ให้เป็นไปตามพระอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนประธานองคมนตรี ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนองคมนตรีอื่น
มาตรา ๑๔
องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง และต้องไม่แสดงความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง
มาตรา 15
ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะยึดมั่นและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
มาตรา 16
องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
มาตรา 17
การแต่งตั้งและการปลดข้าราชการในราชวงศ์และเสนาบดีประจำพระองค์ออกจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามความพอพระทัยของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
มาตรา ๑๘
ในเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ประทับอยู่ในพระราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเรื่องการนั้น
มาตรา ๑๙
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือพระมหากษัตริย์ไม่อาจแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ เพราะพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ หรือด้วยเหตุอื่นใด คณะองคมนตรีต้องเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ประธานรัฐสภาต้องประกาศในพระนามพระมหากษัตริย์เพื่อแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๐
ในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ ให้ประธานสภาองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการพระองค์ เป็นการชั่วคราว
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานคณะองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการ ชั่วคราว
ในระหว่างที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคสอง ประธานสภาองคมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาองคมนตรีไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้สภาองคมนตรีเลือกสมาชิกสภาองคมนตรีคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานสภาองคมนตรีเป็นการ ชั่วคราว
มาตรา ๒๑
ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการต่อรัฐสภาด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอประกาศด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระนามพระมหากษัตริย์) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะยึดมั่นและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาจะทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้
มาตรา ๒๒
ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗
การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชธานี พุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงริเริ่มแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชธานี แล้วทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพิจารณา เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบและลงพระปรมาภิไธยแล้ว ประธานพระราชบัญญัติราชธานีจะแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบเพื่อแจ้งให้รัฐสภาทราบ ประธานรัฐสภาจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และพระราชบัญญัติราชธานีจะมีผลใช้บังคับเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นรัฐสภาในการรับทราบเรื่องตามวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนารัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ แล้วประธานรัฐสภาอัญเชิญรัชทายาทขึ้นครองราชย์ และประกาศให้รัชทายาทขึ้นครองราชย์
ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชบัลลังก์ตามมาตรา ๒๒ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ อาจเสนอพระนามเจ้าหญิงก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญผู้สืบราชบัลลังก์ขึ้นครองราชย์ และประกาศให้พระมหากษัตริย์สืบราชบัลลังก์นั้น
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาต้องทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาในการรับทราบเรื่องตามวรรคหนึ่ง หรือในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
มาตรา ๒๔
ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการประกาศพระนามรัชทายาทหรือผู้สืบราชบัลลังก์ตามมาตรา ๒๓ ให้ประธานคณะองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ เป็นการชั่วคราวในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงในระหว่างที่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ หรือในระหว่างที่ประธานคณะองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วแต่กรณียังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศพระนามรัชทายาทหรือผู้สืบราชบัลลังก์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งและยังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่งไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานสภาองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการ ชั่วคราว
ในกรณีที่ประธานสภาองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสอง ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๐ วรรคสาม มาใช้บังคับ
มาตรา ๒๕
ในกรณีที่คณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๙ หรือมาตรา ๒๓ วรรคสอง หรือในกรณีที่ประธานคณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ วรรคสอง และในระหว่างนั้นไม่มีประธานคณะองคมนตรีอยู่ หรือประธานคณะองคมนตรีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะองคมนตรีที่เหลืออยู่เลือกกันเองคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานคณะองคมนตรี หรือปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ วรรคสาม แล้วแต่กรณี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนที่ ๑
ขอให้มีความดีงาม วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตามปฏิทินจันทรคติ คือ วันเสาร์ วันขึ้น ๑๑ ตุลาคม ตามปฏิทินสุริยคติ ปี ๒๕๔๐ พุทธศักราช ๒๕๔๐
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรมาศ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่รัฐธรรมนูญได้มีการประกาศใช้เป็นหลักการในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า ๖๕ ปีแล้ว และได้มีการยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง ย่อมปรากฏชัดว่ารัฐธรรมนูญนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ในประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญจะต้องวางกฎเกณฑ์พื้นฐานให้ชัดเจนเพื่อเป็นหลักการในการบริหารราชการแผ่นดิน และต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นให้สอดคล้องด้วย และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 ได้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภา ๙๙ คน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อเป็นรากฐานในการปฏิรูปการเมือง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระพรในการปฏิบัติภารกิจนี้ และสภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น โดยมีสาระสำคัญ คือ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพิ่มเติม จัดให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตลอดจนปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นพิเศษ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 ทุกประการ
รัฐสภาได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำขึ้นโดยรอบคอบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศแล้ว จึงมีมติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พระมหากษัตริย์ทรงพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญโดยละเอียดแล้ว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นใช้บังคับ ตามมติของรัฐสภา
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขึ้นใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2534 ตั้งแต่วันที่ประกาศใช้เป็นต้นไป
ขอให้พสกนิกรชาวไทยจงสามัคคีกันรักษา พิทักษ์ และยึดมั่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยอันมีมาจากปวงชนชาวไทย และให้นำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และศักดิ์ศรีแก่พสกนิกรทั่วราชอาณาจักร ตามพระประสงค์ของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ
บทที่ ๑ บทบัญญัติทั่วไป
บทที่ 1
ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียวและแยกจากกันไม่ได้
มาตรา 2
ประเทศไทยใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา 3
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจดังกล่าวผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา 4
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง
มาตรา 5
ประชาชนชาวไทยไม่ว่าจะมีถิ่นกำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญนี้เท่าเทียมกัน
มาตรา 6
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ บทบัญญัติของกฎหมาย กฎ หรือระเบียบใดที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมใช้บังคับไม่ได้
มาตรา ๗
ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
บทที่ 2 ราชา
มาตรา ๘
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพบูชา ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือดำเนินคดีพระมหากษัตริย์ไม่ได้
มาตรา ๙
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนและผู้นับถือศาสนา
มาตรา 10
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งกองทัพไทย
มาตรา 11
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการสถาปนาบรรดาศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
มาตรา ๑๒
พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นประธานสภาองคมนตรี และแต่งตั้งสมาชิกสภาองคมนตรีไม่เกินสิบแปดคนเพื่อประกอบเป็นสภาองคมนตรี สภาองคมนตรีมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่พระมหากษัตริย์ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่ของพระองค์เท่าที่พระองค์จะทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา ๑๓
การเลือกสรร การแต่งตั้ง หรือการถอดถอนองคมนตรี ให้เป็นไปตามพระอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนประธานองคมนตรี ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือถอดถอนองคมนตรีอื่น
มาตรา ๑๔
องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง และต้องไม่แสดงความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง
มาตรา 15
ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะยึดมั่นและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
มาตรา 16
องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
มาตรา 17
การแต่งตั้งและการปลดข้าราชการในราชวงศ์และเสนาบดีประจำพระองค์ออกจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามความพอพระทัยของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
มาตรา ๑๘
ในเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ประทับอยู่ในพระราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเรื่องการนั้น
มาตรา ๑๙
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือพระมหากษัตริย์ไม่อาจแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ เพราะพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ หรือด้วยเหตุอื่นใด คณะองคมนตรีต้องเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ประธานรัฐสภาต้องประกาศในพระนามพระมหากษัตริย์เพื่อแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๐
ในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ ให้ประธานสภาองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการพระองค์ เป็นการชั่วคราว
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานคณะองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการ ชั่วคราว
ในระหว่างที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคสอง ประธานสภาองคมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาองคมนตรีไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้สภาองคมนตรีเลือกสมาชิกสภาองคมนตรีคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานสภาองคมนตรีเป็นการ ชั่วคราว
มาตรา ๒๑
ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการต่อรัฐสภาด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอประกาศด้วยความจริงใจว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระนามพระมหากษัตริย์) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะยึดมั่นและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาจะทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้
มาตรา ๒๒
ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗
การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชธานี พุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงริเริ่มแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติราชธานี แล้วทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพิจารณา เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบและลงพระปรมาภิไธยแล้ว ประธานพระราชบัญญัติราชธานีจะแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบเพื่อแจ้งให้รัฐสภาทราบ ประธานรัฐสภาจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และพระราชบัญญัติราชธานีจะมีผลใช้บังคับเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นรัฐสภาในการรับทราบเรื่องตามวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนารัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ แล้วประธานรัฐสภาอัญเชิญรัชทายาทขึ้นครองราชย์ และประกาศให้รัชทายาทขึ้นครองราชย์
ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชบัลลังก์ตามมาตรา ๒๒ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ อาจเสนอพระนามเจ้าหญิงก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญผู้สืบราชบัลลังก์ขึ้นครองราชย์ และประกาศให้พระมหากษัตริย์สืบราชบัลลังก์นั้น
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ วุฒิสภาต้องทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาในการรับทราบเรื่องตามวรรคหนึ่ง หรือในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
มาตรา ๒๔
ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการประกาศพระนามรัชทายาทหรือผู้สืบราชบัลลังก์ตามมาตรา ๒๓ ให้ประธานคณะองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ เป็นการชั่วคราวในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงในระหว่างที่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ หรือในระหว่างที่ประธานคณะองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วแต่กรณียังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศพระนามรัชทายาทหรือผู้สืบราชบัลลังก์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งและยังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่งไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานสภาองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการ ชั่วคราว
ในกรณีที่ประธานสภาองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสอง ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๐ วรรคสาม มาใช้บังคับ
มาตรา ๒๕
ในกรณีที่คณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๙ หรือมาตรา ๒๓ วรรคสอง หรือในกรณีที่ประธานคณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ วรรคสอง และในระหว่างนั้นไม่มีประธานคณะองคมนตรีอยู่ หรือประธานคณะองคมนตรีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะองคมนตรีที่เหลืออยู่เลือกกันเองคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานคณะองคมนตรี หรือปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ วรรคสาม แล้วแต่กรณี