จะยกพระสูตรหนึ่งให้ดู การรู้นั้นให้รู้ทั้งจิตทั้งวิญญาน
https://84000.org/tipitaka/read/?14/452-466
1.ความสว่างหาประมาณมิได้เป็นอรูปฌาน เป็นจิตที่เป็นอรูปฌาน
2.รูปหาประมาณมิได้ เป็นรูปขันธ์ เป็นวิญญานรู้รูปขันธ์ และรูปขันธ์เป็นรูปปรมัตถ์ ไม่ใช่รูปบัญญัติ
3.การเห็นอย่างนี้ได้ ผ่านการเเห็นการปลี่ยนแปลงของทั้งวิญญานรู้ และจิตผู้รู้
4.ความสว่างหาประมาณมิได้ที่พระองค์เห็นนั้น เป็นการเห็นด้วยจิต ไม่ใช่ด้วยตา จักขุวญญาน
5.สรุป วิญญานรู้และจิตผู้รู้ มันคนละอย่างกัน การรู้ต้องรู้ทั้งสองอย่าง
รู้ทั้งจิตและวิญญญาน
https://84000.org/tipitaka/read/?14/452-466
1.ความสว่างหาประมาณมิได้เป็นอรูปฌาน เป็นจิตที่เป็นอรูปฌาน
2.รูปหาประมาณมิได้ เป็นรูปขันธ์ เป็นวิญญานรู้รูปขันธ์ และรูปขันธ์เป็นรูปปรมัตถ์ ไม่ใช่รูปบัญญัติ
3.การเห็นอย่างนี้ได้ ผ่านการเเห็นการปลี่ยนแปลงของทั้งวิญญานรู้ และจิตผู้รู้
4.ความสว่างหาประมาณมิได้ที่พระองค์เห็นนั้น เป็นการเห็นด้วยจิต ไม่ใช่ด้วยตา จักขุวญญาน
5.สรุป วิญญานรู้และจิตผู้รู้ มันคนละอย่างกัน การรู้ต้องรู้ทั้งสองอย่าง