“ณัฐพงษ์” หวัง ปชน.ชนะ อบจ.ภูมิภาคละ 1 จังหวัด
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_805718/
“ณัฐพงษ์” หวัง ปชน.ชนะ อบจ.ภูมิภาคละ1จังหวัด ย้ำทุกนโยบายของผู้สมัคร ตอบสนองความต้องการของประชาชน
นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยสำนักข่าว INN โดยย้ำถึงการสู้ศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งพรรคประชาชนเปิดว่าที่ผู้สมัครอย่างเป็นทางการ 12 จังหวัดอยู่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง 2 จังหวัด คือ อุดรธานี อุบลราชธานี และยังอยู่ในกระบวนการคัดเลือกอีก 4-5 จังหวัด ที่อาจจะมีการเปิดตัวปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าด้วย โดยการส่งผู้สมัครจะครอบคลุมทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่า จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเลือกคนของพรรคประชาชนอย่างน้อยทุกภูมิภาค จะต้องชนะ อบจ. 1 จังหวัด ส่วนปัจจัยรองอื่นๆ จะต้องมีการวิเคราะห์ เรื่องผลคะแนนเลือกตั้ง และคู่แข่งในพื้นที่ด้วยเช่นเดียวกัน
โดยขอยืนยัน พรรคประชาชนหาเสียงการเมืองแบบสร้างสรรค์ ขอให้แข่งขันในรูปแบบนโยบาย พร้อมย้ำทุกนโยบายของผู้สมัครในนามพรรคประชาชน จะตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนผลสำรวจประชาชนใน จ.อุดรธานี ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใดมีถึงร้อยละ 40 นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ช่วงเวลาที่เหลือก็จะลงพื้นที่หาเสียงนำเสนอยนโยบาย ของพรรคให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน
อัยการธนกฤต โพสต์แนวคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีผู้ยื่นคำร้องตามมาตรา 49
https://www.matichon.co.th/politics/news_4911599
ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ และอาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความ และกฎหมายพยานหลักฐาน ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึง ประเด็นสำคัญในการวินิจฉัยคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ตามแนวคำวินิจฉัยและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้ทางวิชาการด้านกฎหมายแก่ผู้สนใจศึกษาถึงแนวคำวินิจฉัยและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญกรณีมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอ้างอิงจากแนวคำวินิจฉัยและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คำวินิจฉัยที่ 1/2563, 19/2564, 3/2567 และ 20/2567 และคำสั่งที่ 1/2564, 2/2565, 40/2566, 14/2567 และ 30/2567 โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นคดีไหนแต่อย่างใด
ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวคำวินิจฉัยกรณีมีผู้ยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ดังนี้
1. การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง เพื่อที่ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้อำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว
จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมีพฤติการณ์หรือการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
โดยมีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เซาะกร่อน บ่อนทำลายระบอบการปกครองระบอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น จึงจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ถึงระดับที่วิญญูชนควรจักอาจคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ และจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยจะอาศัยเพียงข้อเท็จจริงที่เป็นเพียงข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้
2. เนื่องจากการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 เป็นการที่ประชาชนใช้สิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้
จึงต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561
ดังนั้น ประเด็นตามคำร้องที่ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะต้องอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยด้วย
เช่น หากเป็นการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคการเมือง หรือ คำร้องขอให้ยุติการกระทำที่เป็นการครอบงำพรรคการเมือง
ย่อมไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
เนื่องจากการยุบพรรคการเมืองและการครอบงำพรรคการเมืองนั้นต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92
ที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะเป็นผู้ไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริงและพิจารณาว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือไม่
หากเห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนต่อไป
ซีอีโอทีทีบี ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า ติดหล่มหนี้ เปิด 4 ลู่ทางสร้างโอกาสพลิกฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4912717
ซีอีโอทีทีบี ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า ติดหล่มหนี้ เปิด 4 ลู่ทางสร้างโอกาสพลิกฟื้น
เมื่อวันที่ 21 พฤศิจกายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บนเวทีสัมมนา “THAILAND 2025 โอกาส-ความหวัง-ความจริง” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ (ทีทีบี) กล่าวถึง “
โอกาส-ความท้าทาย-เศรษฐกิจไทย” ว่าหากมองย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี จากปรากฏการณ์หวย 3 ใบที่ไทยแทงถูกเรื่อง ถูกข้าง ถูกเวลา ทำให้เศรษฐกิจไทยโตมาถึงวันนี้ แต่สิ่งที่ได้เริ่มหมดพลังและการเติบโตก็ช้าลงเรื่อยๆ ถึงจีดีพีไตรมาส 3 ของปี 2567 เริ่มเห็น 3% ทำให้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาเล็กน้อย แต่จากนี้จะไปยังไงต่อ ไม่ต้องโทษรัฐบาลใด เพราะปัญหาระดับชาติต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่ตั้งความหวังคนใดคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย มีปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจโตช้า คนส่วนน้อยแบกคนทั้งประเทศ จีดีพีต่อหัวต่ำ มีปัญหาหนี้ที่เกิดจากรายได้ทำให้คนไทยกู้มากลบการใช้ชีวิต
ขณะที่บริษัทใหญ่ที่แข็งแรงมีเพียง 2% ของประเทศไทย และมีการจ้างงาน 16% หากบริษัทใหญ่เจ๊งจะกระทบต่อคน 16% ลงทุน 60% จีดีพี 43% ขณะที่เอสเอ็มอีมีอยู่ 98% จ้างงาน 45% เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ แม้สร้างการลงทุนไม่มาก แต่สร้างจีดีพีเท่าบริษัทใหญ่ ถ้าเอสเอ็มอีไม่รอด จะกระทบต่อภาคแรงงาน รวมถึงการเกษตร รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ท้ายสุดไม่อยากเห็นรัฐบาลและราชการมีขนาดใหญ่มากจนเกินไป ถ้าโครงสร้างเป็นศรษฐกิจเป็นแบบนี้เหนื่อย และสิ่งที่จะเจอต่อไป ยังมีสังคมสูงวัย หนี้รัฐบาลที่เริ่มจะชนเพดานแล้ว และทำให้ประเทศไทยโตช้ามาหลายปีแล้ว
นาย
ปิติกล่าวว่า ส่วนความหวังประเทศไทยมีหลายสิ่งที่ดึงดูดคนมาเที่ยวเป็นอันดับ 10 ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์เป็นท็อประดับโลก มีอินเตอร์เน็ตดี น่าลงทุน ส่งออกวัตถุดิบ การเกษตร มีแรงงานแฝงมีคนมาอยู่เป็นอันดับ 20 ของโลก ซึ่งเป็นเหรียญสองด้าน แต่เป็นกลุ่มที่มาจับจ่ายและท่องเที่ยว แต่มุมกลับกันการขอใบอนุญาตยาก ทำให้ภาคเศรษฐกิจอยากมาลงทุนเมืองไทย ขอใบอุนญาตและไม่รู้ว่าการเมืองว่ามีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน
“
เมื่อมองภาพเศรษฐกิจไทยไม่ได้ขี้เหร่ แต่สิ่งที่เราขี้เหร่และต้องช่วยกันแก้ คือการคอร์รัปชั่น อย่างไรก็ตามถือว่าเศรษฐกิจไทยมาถูกทางที่ค่อยๆเปลี่ยนมาสู่ด้านภาคบริการ ถ้าหวังอยู่กับภาคการเกษตรแบบเดิมกับภาคการผลิตตาย เพราะไทยเป็นเอดจิ้งอีโคนามี คนอายุมากไม่อยากไปทำงานโรงงานและภาคการเกษตร และประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีสัดส่วนภาคบริการค่อนข้างสูง โตขึ้นเรื่อยๆ ภาคอุตสาหกรรมลดลง” นายปิติกล่าว
นาย
ปิติกล่าวว่า ด้านโอกาสเปรียบเหมือนการแทงหวย 4 ใบ หวยใบที่ 1 การลงทุนของภาครัฐ ต้องเปลี่ยนจากรัฐลงทุนเอง มาทำ PPP ให้เอกชนร่วมลงทุน หรือเอาต์ซอร์สให้มากที่สุด จะเกิดการลงทุนมหาศาลและเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพไปคู่กัน ทั้งขั้นตอนระบบราชการจากผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอ ชี้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับการขออนุญาต 1,000 กระบวนงาน สร้างต้นทุนให้แก่ประชาชนราว 2 แสนล้านบาทต่อปี ,ระบบการศึกษาซึ่งคนต้องการทักษะมากกว่าดีกรี, ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ส่วนใหญ่ยังใช้ถนน ต้องปรับมาสู่ระบบรางมากขึ้น เพื่อให้ต้นทุนการขนส่งถูก เพราะไทยเป็นประเทศที่ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีสูงมากเพราะใช้ระบบรางต่ำ หวังว่าจะมีการปฎิรูประบบรางเกิดขึ้น หลังรัฐบาลมีการลงทุนไปมากแล้ว
นาย
ปิติกล่าวว่า หวยใบที่ 2 การเทิร์นความแข็งแกร่งของเอกชนให้เป็นโอกาส ผ่านโมเดลธูรกิจดอกไม้กับแมลง น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ด้วยการที่บริษัทใหญ่อย่างเช่น ปั๊มปตท.และบางจาก ซัพพอร์ตรายเล็ก เพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน ด้วยการให้แฟรนไซส์ธุรกิจร้านอาหารและเข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มที่สูงขึ้น เป็นต้น
นาย
ปิติกล่าวต่อว่า หวยใบที่ 3 ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งอยากเห็นการช่วยเหลือของภาครัฐเปลี่ยนไปตามระดับรายได้ของของคน อย่างกลุ่มล่างที่อยู่ไม่ได้ ควรให้สิทธิ ไม่ควรให้เงิน เช่น ให้ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมันรายเดือน เพื่อให้ออกมาทำงาน แต่มีต้นทุนในการทำงานที่ต่ำลง โดยการให้สิทธิ เพื่อนำไปแลกเป็นปุ๋ยกับน้ำมันกับร้านค้าอยู่ในระบบภาษี
“
กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อผ่านสิทธิช่วยจ่าย อาจจะเป็นคนละครึ่ง กลุ่มที่รายได้สูงขึ้นมาก็ให้สิทธิในการคืนภาษี เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย เช่น เที่ยวเมืองรองต่างจังหวัดวันธรรมดา นำมาหักภาษีปลายปี ถ้าทำได้จะช่วยลดค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจและดึงธุรกิจใต้ดินเข้าระบบภาษี สุดท้าย หวยใบที่ 4 เรื่องโกลบอลเทรนด์ เป็นสิ่งต้องเกิดและเป็นโอกาสของธุรกิจ ไม่ว่าเรื่องของกรีน และเอจจิ้ง อีโคนามี ซัพพลายเชน เป็นต้น
“
เชื่อว่าถ้าเอกชน รัฐบาล ประชาชน ร่วมมือกันช่วยกัน เทิร์นประเทศไทย แทงหวย 4 ใบนี้ จะเปลี่ยนจากภาพขาวดำ เป็นภาพสีได้ด้วยมือของเราเอง” นายปิติกล่าว.
JJNY : “ณัฐพงษ์”หวัง ปชน.ชนะ อบจ.│อัยการธนกฤตโพสต์แนวคำวินิจฉัย│ชี้ศก.ไทยโตช้า ติดหล่มหนี้│ผู้นำเกาหลีเหนือโวยสหรัฐ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_805718/
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยสำนักข่าว INN โดยย้ำถึงการสู้ศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งพรรคประชาชนเปิดว่าที่ผู้สมัครอย่างเป็นทางการ 12 จังหวัดอยู่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง 2 จังหวัด คือ อุดรธานี อุบลราชธานี และยังอยู่ในกระบวนการคัดเลือกอีก 4-5 จังหวัด ที่อาจจะมีการเปิดตัวปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าด้วย โดยการส่งผู้สมัครจะครอบคลุมทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่า จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเลือกคนของพรรคประชาชนอย่างน้อยทุกภูมิภาค จะต้องชนะ อบจ. 1 จังหวัด ส่วนปัจจัยรองอื่นๆ จะต้องมีการวิเคราะห์ เรื่องผลคะแนนเลือกตั้ง และคู่แข่งในพื้นที่ด้วยเช่นเดียวกัน
โดยขอยืนยัน พรรคประชาชนหาเสียงการเมืองแบบสร้างสรรค์ ขอให้แข่งขันในรูปแบบนโยบาย พร้อมย้ำทุกนโยบายของผู้สมัครในนามพรรคประชาชน จะตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนผลสำรวจประชาชนใน จ.อุดรธานี ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใดมีถึงร้อยละ 40 นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ช่วงเวลาที่เหลือก็จะลงพื้นที่หาเสียงนำเสนอยนโยบาย ของพรรคให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน
อัยการธนกฤต โพสต์แนวคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีผู้ยื่นคำร้องตามมาตรา 49
https://www.matichon.co.th/politics/news_4911599
ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ และอาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความ และกฎหมายพยานหลักฐาน ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึง ประเด็นสำคัญในการวินิจฉัยคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ตามแนวคำวินิจฉัยและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้ทางวิชาการด้านกฎหมายแก่ผู้สนใจศึกษาถึงแนวคำวินิจฉัยและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญกรณีมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอ้างอิงจากแนวคำวินิจฉัยและคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คำวินิจฉัยที่ 1/2563, 19/2564, 3/2567 และ 20/2567 และคำสั่งที่ 1/2564, 2/2565, 40/2566, 14/2567 และ 30/2567 โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นคดีไหนแต่อย่างใด
ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวคำวินิจฉัยกรณีมีผู้ยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ดังนี้
1. การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง เพื่อที่ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้อำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว
จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมีพฤติการณ์หรือการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
โดยมีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เซาะกร่อน บ่อนทำลายระบอบการปกครองระบอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น จึงจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ถึงระดับที่วิญญูชนควรจักอาจคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ และจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยจะอาศัยเพียงข้อเท็จจริงที่เป็นเพียงข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้
2. เนื่องจากการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 เป็นการที่ประชาชนใช้สิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้
จึงต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561
ดังนั้น ประเด็นตามคำร้องที่ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะต้องอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยด้วย
เช่น หากเป็นการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคการเมือง หรือ คำร้องขอให้ยุติการกระทำที่เป็นการครอบงำพรรคการเมือง
ย่อมไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
เนื่องจากการยุบพรรคการเมืองและการครอบงำพรรคการเมืองนั้นต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92
ที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะเป็นผู้ไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริงและพิจารณาว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือไม่
หากเห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนต่อไป
ซีอีโอทีทีบี ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า ติดหล่มหนี้ เปิด 4 ลู่ทางสร้างโอกาสพลิกฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4912717
ซีอีโอทีทีบี ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า ติดหล่มหนี้ เปิด 4 ลู่ทางสร้างโอกาสพลิกฟื้น
เมื่อวันที่ 21 พฤศิจกายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บนเวทีสัมมนา “THAILAND 2025 โอกาส-ความหวัง-ความจริง” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ (ทีทีบี) กล่าวถึง “โอกาส-ความท้าทาย-เศรษฐกิจไทย” ว่าหากมองย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี จากปรากฏการณ์หวย 3 ใบที่ไทยแทงถูกเรื่อง ถูกข้าง ถูกเวลา ทำให้เศรษฐกิจไทยโตมาถึงวันนี้ แต่สิ่งที่ได้เริ่มหมดพลังและการเติบโตก็ช้าลงเรื่อยๆ ถึงจีดีพีไตรมาส 3 ของปี 2567 เริ่มเห็น 3% ทำให้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาเล็กน้อย แต่จากนี้จะไปยังไงต่อ ไม่ต้องโทษรัฐบาลใด เพราะปัญหาระดับชาติต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่ตั้งความหวังคนใดคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย มีปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจโตช้า คนส่วนน้อยแบกคนทั้งประเทศ จีดีพีต่อหัวต่ำ มีปัญหาหนี้ที่เกิดจากรายได้ทำให้คนไทยกู้มากลบการใช้ชีวิต
ขณะที่บริษัทใหญ่ที่แข็งแรงมีเพียง 2% ของประเทศไทย และมีการจ้างงาน 16% หากบริษัทใหญ่เจ๊งจะกระทบต่อคน 16% ลงทุน 60% จีดีพี 43% ขณะที่เอสเอ็มอีมีอยู่ 98% จ้างงาน 45% เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ แม้สร้างการลงทุนไม่มาก แต่สร้างจีดีพีเท่าบริษัทใหญ่ ถ้าเอสเอ็มอีไม่รอด จะกระทบต่อภาคแรงงาน รวมถึงการเกษตร รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ท้ายสุดไม่อยากเห็นรัฐบาลและราชการมีขนาดใหญ่มากจนเกินไป ถ้าโครงสร้างเป็นศรษฐกิจเป็นแบบนี้เหนื่อย และสิ่งที่จะเจอต่อไป ยังมีสังคมสูงวัย หนี้รัฐบาลที่เริ่มจะชนเพดานแล้ว และทำให้ประเทศไทยโตช้ามาหลายปีแล้ว
นายปิติกล่าวว่า ส่วนความหวังประเทศไทยมีหลายสิ่งที่ดึงดูดคนมาเที่ยวเป็นอันดับ 10 ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์เป็นท็อประดับโลก มีอินเตอร์เน็ตดี น่าลงทุน ส่งออกวัตถุดิบ การเกษตร มีแรงงานแฝงมีคนมาอยู่เป็นอันดับ 20 ของโลก ซึ่งเป็นเหรียญสองด้าน แต่เป็นกลุ่มที่มาจับจ่ายและท่องเที่ยว แต่มุมกลับกันการขอใบอนุญาตยาก ทำให้ภาคเศรษฐกิจอยากมาลงทุนเมืองไทย ขอใบอุนญาตและไม่รู้ว่าการเมืองว่ามีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน
“เมื่อมองภาพเศรษฐกิจไทยไม่ได้ขี้เหร่ แต่สิ่งที่เราขี้เหร่และต้องช่วยกันแก้ คือการคอร์รัปชั่น อย่างไรก็ตามถือว่าเศรษฐกิจไทยมาถูกทางที่ค่อยๆเปลี่ยนมาสู่ด้านภาคบริการ ถ้าหวังอยู่กับภาคการเกษตรแบบเดิมกับภาคการผลิตตาย เพราะไทยเป็นเอดจิ้งอีโคนามี คนอายุมากไม่อยากไปทำงานโรงงานและภาคการเกษตร และประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีสัดส่วนภาคบริการค่อนข้างสูง โตขึ้นเรื่อยๆ ภาคอุตสาหกรรมลดลง” นายปิติกล่าว
นายปิติกล่าวว่า ด้านโอกาสเปรียบเหมือนการแทงหวย 4 ใบ หวยใบที่ 1 การลงทุนของภาครัฐ ต้องเปลี่ยนจากรัฐลงทุนเอง มาทำ PPP ให้เอกชนร่วมลงทุน หรือเอาต์ซอร์สให้มากที่สุด จะเกิดการลงทุนมหาศาลและเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพไปคู่กัน ทั้งขั้นตอนระบบราชการจากผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอ ชี้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับการขออนุญาต 1,000 กระบวนงาน สร้างต้นทุนให้แก่ประชาชนราว 2 แสนล้านบาทต่อปี ,ระบบการศึกษาซึ่งคนต้องการทักษะมากกว่าดีกรี, ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ส่วนใหญ่ยังใช้ถนน ต้องปรับมาสู่ระบบรางมากขึ้น เพื่อให้ต้นทุนการขนส่งถูก เพราะไทยเป็นประเทศที่ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีสูงมากเพราะใช้ระบบรางต่ำ หวังว่าจะมีการปฎิรูประบบรางเกิดขึ้น หลังรัฐบาลมีการลงทุนไปมากแล้ว
นายปิติกล่าวว่า หวยใบที่ 2 การเทิร์นความแข็งแกร่งของเอกชนให้เป็นโอกาส ผ่านโมเดลธูรกิจดอกไม้กับแมลง น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ด้วยการที่บริษัทใหญ่อย่างเช่น ปั๊มปตท.และบางจาก ซัพพอร์ตรายเล็ก เพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน ด้วยการให้แฟรนไซส์ธุรกิจร้านอาหารและเข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มที่สูงขึ้น เป็นต้น
นายปิติกล่าวต่อว่า หวยใบที่ 3 ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งอยากเห็นการช่วยเหลือของภาครัฐเปลี่ยนไปตามระดับรายได้ของของคน อย่างกลุ่มล่างที่อยู่ไม่ได้ ควรให้สิทธิ ไม่ควรให้เงิน เช่น ให้ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมันรายเดือน เพื่อให้ออกมาทำงาน แต่มีต้นทุนในการทำงานที่ต่ำลง โดยการให้สิทธิ เพื่อนำไปแลกเป็นปุ๋ยกับน้ำมันกับร้านค้าอยู่ในระบบภาษี
“กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อผ่านสิทธิช่วยจ่าย อาจจะเป็นคนละครึ่ง กลุ่มที่รายได้สูงขึ้นมาก็ให้สิทธิในการคืนภาษี เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย เช่น เที่ยวเมืองรองต่างจังหวัดวันธรรมดา นำมาหักภาษีปลายปี ถ้าทำได้จะช่วยลดค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจและดึงธุรกิจใต้ดินเข้าระบบภาษี สุดท้าย หวยใบที่ 4 เรื่องโกลบอลเทรนด์ เป็นสิ่งต้องเกิดและเป็นโอกาสของธุรกิจ ไม่ว่าเรื่องของกรีน และเอจจิ้ง อีโคนามี ซัพพลายเชน เป็นต้น
“เชื่อว่าถ้าเอกชน รัฐบาล ประชาชน ร่วมมือกันช่วยกัน เทิร์นประเทศไทย แทงหวย 4 ใบนี้ จะเปลี่ยนจากภาพขาวดำ เป็นภาพสีได้ด้วยมือของเราเอง” นายปิติกล่าว.