ขิง ขิง ขิง

.

.

.
.

ประวัติขิง/การใช้งานในแต่ละแห่ง

ขิง (หรือเรียกอีกอย่างว่า รากขิง) 
คือ เหง้าของพืชดอกที่มีชื่อเดียวกัน
คนเราใช้รากขิงเป็นเครื่องเทศ
และยารักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ขิงเป็นพืชดอกชนิดหนึ่งซึ่งมีเหง้า 
ลำต้นใต้ดินของพืช  เหง้า
นี้ว่า รากขิง หรือเรียกง่ายๆ ว่า  ขิง
ขิงจัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae
ซึ่งรวมถึงขมิ้น กระวาน ข่า

ขิงปรากฏขึ้นครั้งแรกในภาคใต้ของจีนโบราณ 
จากนั้นจึงแพร่กระจายไปยังอินเดีย 
หมู่เกาะมาลูกู หรือ หมู่เกาะเครื่องเทศ
ส่วนที่เหลือของเอเชีย และแอฟริกาตะวันตก

ยุโรปได้เห็นขิงเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 1
เมื่อชาวโรมันโบราณทำการค้าขายกับอินเดีย
เมื่อกรุงโรมล่มสลาย ยุโรปก็ลืมขิงไปเลย
จนกระทั่งมาร์โคโปโลนำขิงกลับมาอีกครั้ง
จากการเดินทางไปยังตะวันออก 
ในยุคกลาง ขิงครึ่งกิโลกรัม
มี ราคาเท่ากับแกะหนึ่งตัว

ในศตวรรษที่ 15 เมื่อมีการค้นพบโลกใหม่ 
ขิงจึงถูกนำไปปลูกที่ทะเลแคริบเบียน
ซึ่งขิงเริ่มเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

อินเดีย คือ ผู้ผลิตขิงรายใหญ่ที่สุดในโลก

ชื่อ  ขิง นั้นมีที่มาที่ไปมาจาก
Ginger ชื่อสกุลขิง คือ  Zingiber
Greek zingiberis มาจากภาษา Sanskrit
เรียกพืชชนิดนี้ว่า Singabera
แต่รากของมันอยู่ในคำสันสกฤตว่า
Srngaveram  ซึ่งแปลว่า ลำต้น
และอธิบายถึงรากของขิง
(ซึ่งอธิบายถึงรูปร่างของเหง้าขิง)
หรือจากชื่อดราวิเดียนโบราณ
inchi-ver ซึ่ง  inchi แปลว่า ราก
.
.
.

.

.

.

.

.
.

ในขณะที่มันเติบโต จะมีตาสีขาวและสีชมพู
ที่บานออกมาเป็นดอกไม้สีเหลือง
เหง้าของขิงจะถูกเก็บเกี่ยว
เมื่อลำต้นเหี่ยวเฉา หนึ่งปีหลังจากปลูก
เมื่อก้านเหี่ยวเฉา เหง้าจะถูกเก็บเกี่ยว
แล้วจะถูกฆ่า/ทำให้มันตายทันที
โดยลวกในน้ำร้อนหรือล้าง/ขูด
เพื่อป้องกันไม่ให้มันงอก

ขิงถูกนำมาใช้ในหลากหลายวิธี
และด้วยเหตุผลต่าง ๆ
การใช้งานหลัก คือ เครื่องเทศในครัว

ขิงอ่อนจะมีน้ำและเนื้อแน่น
มักจะดองในน้ำส้มสายชูหรือเชอร์รี่
ใช้กินเป็นอาหารว่าง

ชาสามารถทำจากชิ้นส่วนของราก
ที่แช่ในน้ำเดือดและผสมกับน้ำผึ้ง

ขิงนำไปทำไวน์ได้
หากหมักกับลูกเกด ผสม(เสริม) กับบรั่นดี

เมื่อปล่อยให้แก่ ขิงจะแห้ง
แล้วนำมาทำเป็นผง ใช้เป็นเครื่องเทศ
หรือเป็นส่วนผสมของขนมปังขิง คุกกี้
แครกเกอร์ เค้ก น้ำไซเดอร์ และเบียร์ขิง

แม้แต่ขนมก็สามารถทำจากขิงได้
โดยผสมกับน้ำตาลแล้วเคี่ยวจนนิ่ม
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ขิงเชื่อม
.
.

.

.

.
.

ขิงเป็นส่วนผสมอาหารที่นิยมมากในอินเดีย 
ขิงใช้ทำน้ำเกรวี่ข้น ทำแกงถั่ว/แกงถั่วเลนทิล 
และเป็นเครื่องเทศสำหรับชาและกาแฟ 
(โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว) 

ขิงสับหรือบดละเอียดเป็นส่วนผสมหลัก
ของน้ำพริกที่ผสมกับหัวหอมและกระเทียม
แล้วใส่ในอาหารไก่ในบังคลาเทศ 

ญี่ปุ่นใช้ขิงอ่อนหั่นบางทำ การิ
ดองในน้ำส้มสายชูและน้ำตาล 
ซึ่งมักรับประทานเป็นของหวาน
หรือระหว่างซูชิหลายประเภท
เพื่อทำความสะอาดเพดานปาก
เตรียมปากให้พร้อมสำหรับรสชาติที่แตกต่าง 
นอกจากนี้ยังใช้ทำ เบนิโชกะ
ซึ่งเป็นขิงดองอีกประเภทหนึ่ง 

มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
ก็ชื่นชอบขิงทั้งในรูปแบบเผ็ดและหวานเช่นกัน

แต่ขิงไม่ได้มีบทบาทเพียงอย่างเดียวในอาหาร 
ตั้งแต่สมัยโบราณ ขิงถูกใช้เป็นยาพื้นบ้าน 
ตัวอย่างเช่น ขิงจาเมกา
มักใช้รักษาอาการอาหารไม่ย่อย 
กระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า 
อาการเคลื่อนไหวช้า ท้องผูก 
และอาการปวดเกร็ง 

ส่วนผสมของขิงและสารให้ความหวาน
ที่ทำจากน้ำต้นปาล์มถูกนำมาใช้ในพม่า
เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ 

ในญี่ปุ่น ใช้ขิงช่วยการไหลเวียนโลหิต 

น้ำ Tangawisi ที่ปรุงในคองโก
ถือเป็นยาครอบจักรวาล 
ขิงทำมาจากขิงและยางของต้นมะม่วง 
ขิงที่นำมาทำเป็นยาพอกใช้บรรเทา
อาการปวดหัวโดยนำไปวางไว้ที่วัด 
ในบางพื้นที่ ขิงใช้เป็นยาบรรเทา
อาการคลื่นไส้และอาเจียน
ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ในระยะสั้น
.
.

.

.

.
.

หากใช้ขิงในปริมาณที่เหมาะสม 
ถือว่าขิงปลอดภัยต่อการใช้ 
ถึงแม้ว่าขิงอาจมีปฏิกิริยากับ
ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิด
ผลข้างเคียงอื่น ๆ ของการใช้ขิงมากเกินไป
ได้แก่ อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และคลื่นไส้

ขิงช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้
ขิงมีส่วนประกอบ 3 อย่าง ได้แก่ 
โครเมียม แมกนีเซียม และสังกะสี 
ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
ป้องกันอาการหนาวสั่น ไข้ 
และเหงื่อออกมากเกินไป ซึ่งดีเมื่อเป็นหวัด

การศึกษาวิจัยบางกรณีระบุว่า
ผู้ที่ได้รับขิงมีอาการเมาเรือน้อยกว่า 
สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด

การศึกษาวิจัยระยะเริ่มต้นบางกรณีของ
สมาคมมะเร็งอเมริกัน ระบุว่า
มีโอกาสที่ขิงอาจช่วยป้องกันไม่ให้
เนื้องอกเกิดขึ้นในสัตว์บางชนิดได้
แต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า
ขิงจะมีผลเช่นเดียวกันกับคนเราหรือไม่
แต่ก็ควรศึกษาวิจัยต่อไป

ขิงมีวิตามิน B1, B2, B3, B5, B6, B9, C, E
ในส่วนของแร่ธาตุมี แคลเซียม แมกนีเซียม
เหล็ก แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม
โซเดียม และสังกะสี

ขิงอาจช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน
ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ได้ในระยะสั้น
สำหรับอาการคลื่นไส้ประเภทอื่น ๆ ยังไม่แน่ใจ

ประโยชน์อีกประการหนึ่งของขิง คือ
ช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์
ในกระเพาะอาหารและตับอ่อน 
จึงช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร
ที่จำเป็นจากอาหารที่คนเรากิน
นี่คือ เหตุผลอีกประการหนึ่ง
ในการใช้ขิงเป็นเครื่องเทศในอาหาร

มีข้อบ่งชี้บางประการที่
ขิงช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
ในลักษณะเดียวกับ แอสไพริน/ไอบูโพรเฟน
ซึ่งอาจบรรเทาอาการบวมและปวดได้

ชาขิงยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
เป็นยาแก้เสียดท้องตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม 

ยาจีนใช้ชาขิงผสมกับน้ำตาลทรายแดง
ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน

ผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม หรือ
โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์
จะมีอาการปวดลดลง เมื่อกินขิงเป็นประจำ
เพราะขิงมี Gingerols  ซึ่งมีฤทธิ์แรงมาก


เรียบเรียง/ที่มา

https://tinyurl.com/4e8yp558
https://tinyurl.com/52xxmx8n
.

.

น้ำร้อนลวกขิง วิธีการปรุงอาหารแบบไทย
ที่มีประโยชน์หลายอย่าง

1. ช่วยลดความเผ็ดร้อนของขิง -
น้ำร้อนจะช่วยลดความเผ็ดร้อนของขิงลง
ทำให้รสชาติไม่แรงเกินไป

2. ทำให้ขิงนิ่มลง - การลวกด้วยน้ำร้อน
จะทำให้เนื้อขิงนิ่มขึ้น ง่ายต่อการรับประทาน

3. ดึงสารสำคัญออกมา - ความร้อนช่วยสกัด
สารจินเจอรอล (Gingerol) น้ำมันหอมระเหย
ออกมาจากขิง ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

4. ยืดอายุการเก็บ - ขิงที่ผ่านการลวกน้ำร้อน
จะเก็บได้นานขึ้นเมื่อแช่ในน้ำเย็น

ขิง ยังใช้ในพิธีกรรมบางพื้นที่ เช่น
บายศรีสู่ขวัญ ทำขวัญเด็ก ยาอายุวัฒนะ

.
.

พืชที่อยู่ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae)
มีลักษณะเด่นคือเป็นพืชล้มลุกหลายฤดู 
มีลำต้นใต้ดินแบบไรโซมหรือเหง้า 
และมีกลิ่นเฉพาะซึ่งเกิดจากน้ำมันหอมระเหย 

พืชวงศ์ขิงในโลกมีประมาณ 1,500 ชนิด 
ภูมิประเทศในเขตร้อนชื้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่พบ
พืชวงศ์ขิงหลายชนิดมาก 

ไทยคาดว่าพบประมาณ 300 ชนิด
พืชกลุ่มนี้นับว่าเป็นพืชที่มีวิวัฒนาการสูง เช่น
มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของโครงสร้าง ดอก
หรือโครงสร้างบางส่วนหายไป
การระบุชนิด (species) ของพืชวงศ์ขิงนั้น
ทำได้ค่อนข้างยากเพราะพืชวงศ์นี้
มีความแปรผันของลักษณะสูง
ชื่อวิทยาศาสตร์ของชิงจึงมีความสำคัญ
และจำเป็นในการใช้สื่อสารในระดับสากล
ที่จะไม่เกิดความสับสน และมีความแม่นยำ
ในการนำพืชใด ๆ มาใช้ประโยชน์

คนไทยนำพืชวงศ์ขิงมาใช้ประโยชน์
ในชีวิตประจำวันอย่างกว้างขวาง
สืบทอดกันมาเป็น  ภูมิปัญญาพื้นบ้าน

พืชในวงศ์ขิงหลายชนิด
ถูกนำมาใช้ประกอบอาหารเป็นเครื่องเทศ
และเป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญ เช่น

ขิง Zingiber officinale
ข่า Alpinia galanga
ขมิ้น Curcuma longa
กระชาย Boesenbergia rotunda
กระวาน Amomum testaceum
ไพล Zingiber cassumunar
เปราะ Kaemferia sp. รวมถึงว่านต่าง ๆ
.
.

.
ขิง
.
.

.
ข่า
.
.

.
ขมิ้น
.
.

.
กระชาย
.
.

.
กระวาน
.
.

.
ไพล
.
.

.
เปราะ
.

.
.

.
.
.

ว่านนางคำ มีการใช้ชื่อที่สับสนทั้งชื่อสามัญ 
หรือแม้กระทั่งชื่อวิทยาศาสตร์
การนำไปใช้ประโยชน์ที่อาจผิดพลาดได้ เช่น 

ว่านนางคำ ชนิดต้น ก้านและกาบใบเป็นสีแดง 
เนื้อในหัวมีสีเหลือง ใบสีเขียวเรียว 
(มีสรรพคุณช่วยกระทุ้งพิษในร่างกาย 
แก้ฟกช้ำบวม แก้พิษว่านอื่น ๆ)

ว่านนางคำ ชนิดต้นสีเขียว  เนื้อในหัวมีสีขาว 
(มีสรรพคุณช่วยแก้ฤทธิ์ว่านทั้งปวง)

ว่านนางคำ ชนิดต้นเขียว กลางใบมีสีแดง 
เนื้อในหัวมีสีเหลืองเข้ม ใบมีขนาดใหญ่ 
และเป็นชนิดที่นิยมปลูกโดยทั่วไป 
(หัวมีสรรพคุณรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ 
แก้อาการปวด ช่วยขับลม แก้อาการฟกช้ำ 
ข้อเคล็ด รากเป็นยาสมานแผล 
ยาขับเสมหะ แก้ท้องร่วง รักษาโรคหนองใน)
 
ว่านนางคำทั้ง 3 ชนิด ถูกกำกับด้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ชื่อเดียวกันคือ 
Curcuma aromatica Salisb. หรือ 
Curcuma zedoaria Roxb.
น่าจะเป็นชื่อของว่านนางคำชนิดใดชนิดหนึ่ง 
ซึ่งยังไม่มีการตรวจสอบการจัดจำแนก 
และควรระบุชื่อวิทยาศาสตร์
ของว่านนางคำแต่ละชนิด

@ ความสับสนในสมุนไพรวงศ์ขิง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่