ฮาร์วาร์ดแนะนำ "ขิง" สมุนไพรมากประโยชน์ ตำราแพทย์โบราณยกเป็น "มหาโอสถ"


ฮาร์วาร์ดแนะนำ "ขิง" สมุนไพรมากประโยชน์ ตำราแพทย์โบราณยกเป็น "มหาโอสถ" ใช้รักษาโรคมากว่า 5,000 ปี


สมุนไพรและเครื่องเทศที่มีความสำคัญ และเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก หนึ่งในนั้นคือ "ขิง" มีหลักฐานการใช้ยาวนานกว่า 5,000 ปี มีการใช้อย่างกว้างขวางในประเทศอินเดียและจีนสมัยโบราณ จัดว่าเป็นสมุนไพรนานาชาติอีกชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วโลกมานาน
มีหลักฐานว่าในประเทศตะวันตกมีการนำขิงไปใช้ประโยชน์ตั้งแต่มีการติดต่อค้าขาย

ขิง ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนที่นิยมใช้มากที่สุดคือเหง้าหรือลำต้นใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะป้อม ๆ และขรุขระ ส่วนลำต้นเหนือดินก็นิยมใช้ในบางเมนูอาหารเอเชีย

ขิงสุดยอดสมุนไพรไทย
ขิง เป็นส่วนประกอบหนึ่งในยาสมุนไพรหลายพิกัด เช่น “เบญจกูล” ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 โดยเหง้าขิงแห้งจะช่วยควบคุมอากาศธาตุให้เป็นปกติ หรือ “ตรีกฏุก” เป็นเครื่องยาที่มีฤทธิ์ให้ความร้อนสำหรับปรับธาตุในฤดูฝน ขิงแห้งจะปรับการทำงานของธาตุลมให้สมดุล และในตำรับยาสามัญประจำบ้านของไทยก็มีส่วนผสมของเหง้าขิง/ขิงแห้ง เข้าหลายตำรับด้วย เช่น ประสะกะเพรา , วิสัมพยาใหญ่ , ประสะกานพลู , มันทธาตุ , ธรณีสัณฑะฆาต , ธาตุบรรจบ , ยาหอมอินทจักร์ , ยาหอมนวโกฐ และประสะไพล ซึ่งตำรับยาเหล่านี้มีฤทธิ์รสสุขุมไปจนถึงรสร้อน

ในคัมภีร์สรรพคุณยา เรื่องเกี่ยวกับพิกัดตรีผลา ตรีกฏุก ตรีสาร กล่าวไว้ว่า

ขิงแห้งนั้น มีรสอันหวาน ย่อมแก้พรรดึก แก้ไข้จับ แก้นอนมิหลับ แก้ลมพานไส้ แก้ลมแน่นในทรวง แก้ลมเสียดแทงคลื่นเหียน

ขิงสดนั้น มีรสหวาน ร้อน เผ็ด เหง้าจำเริญอากาศธาตุ ดอกแก้โรคอันบังเกิดแต่ดวงหทัย ใบแก้กำเดาให้บริบูรณ์ ต้นสกัดลมสลสู่คูถทวาร รากแก้เสียงให้เพราะ แลเจริญอาหาร

ส่วนคัมภีร์สรรพคุณยา เรื่องเกี่ยวกับไม้มีคุณเสมอกัน กล่าวไว้ว่า คุณขิงแห้ง แก้เสมหะ เจริญไฟธาตุ แก้ไอลึกในทรวงอก ขิงสด มีรสเผ็ดร้อน แก้ลมในกองไฟธาตุให้กระจายเสีย แก้ลมพรรดึก แก้จุกเสียด แก้โรคในอก เจริญอาหาร แก้ไข้ 10 ประการให้สมบูรณ์

ตำรับยาไทยใช้เหง้าขิงแก่ เป็นยาขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ รวมทั้งแก้อาเจียนด้วย

ขิงในวัฒนธรรมจีน
ชาวบ้านจีนใช้ขิงต้มน้ำตาลทรายแดงดื่มแก้หวัด ใช้ขิงสดแปะขมับช่วยบรรเทาปวดหัว และอมไว้ใต้ลิ้นเพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน

ผู้หญิงจีนโบราณนิยมใช้ขิงบรรเทาปวดประจำเดือนและอาการแพ้ท้อง กะลาสีเรือจีนเคี้ยวรากขิงเพื่อป้องกันอาการเมาคลื่น

ในปี 2528 ขิงได้รับการบรรจุในตำรับยาแห่งชาติจีน ทั้งในรูปแบบขิงสด ขิงแห้ง และทิงเจอร์ โดยแพทย์จีนใช้ขิงแห้งในผู้ที่มีภาวะขาดหยาง (ร่างกายเย็น ย่อยยาก) และใช้ขิงแก่ในผู้ป่วยข้อรูมาติก ส่วนขิงสดใช้ขับพิษจากการติดเชื้อ ช่วยขับเหงื่อ ลดอาการคลื่นไส้ และขับเสมหะ

ขิงในอายุรเวทของอินเดีย
มีการใช้สมุนไพรขิงอย่างแพร่หลาย ซึ่งการใช้ขิงแห้งและขิงสดไม่แตกต่างกัน โดยในอินเดียจะใช้ขิงในการทาถูนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ใช้ขิงลดการอักเสบ แก้ปวด ลดอาการบวมน้ำ ใช้เป็นยากระตุ้นการอยากอาหาร เป็นยาช่วยย่อย ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยระงับการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นกำหนัด

ในตำรับยาทางอายุรเวทยังมีการใช้ขิงในการลดการบวมและการอักเสบของตับ คนพื้นเมืองอินเดียทั่วไปยังนิยมใช้น้ำคั้นจากขิงผสมน้ำผึ้ง และน้ำคั้นจากกระเทียมรักษาอาการหอบหืด ทั้งยังมีการใช้ขิงผงแห้งละลายน้ำอุ่นทาที่หน้าผากรักษาอาการปวดหัว

ฮาร์วาร์ดแนะนำขิง
ขณะที่เว็บไซต์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด harvard.edu ได้เขียนบทความ ประโยชน์ต่อสุขภาพของขิง แนะนำวิธีง่าย ๆ ในการเพิ่มขิงลงในมื้ออาหาร

ขิงเป็นพืชที่มีรสหวานเผ็ดเฉพาะตัว และกลิ่นหอมฉุน มักถูกใช้ในขนมอบหลายชนิดที่หลายคนชื่นชอบ เช่น คุกกี้ เค้ก ขนมปังขิง รวมถึงในอาหารคาวจากทั่วโลก นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติแล้ว ขิงยังมีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพและช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม

ประโยชน์ของขิงต่อสุขภาพ
ใครที่เคยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง อาจเคยใช้ขิงเป็นวิธีบรรเทาอาการ หรือได้รับคำแนะนำให้ลองใช้ขิง เพราะขิงมีประวัติยาวนานในการรักษาอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด

ขิงยังช่วยลดอาการท้องอืด แก๊สในลำไส้ และเมารถ เมาเรือได้ดี โดยสารสำคัญที่ทำหน้าที่คือ “จินเจอรอล” (Gingerol) ซึ่งช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารทำงานเร็วขึ้น และทำให้กระเพาะอาหารว่างไวขึ้น

นอกจากนี้ ขิงยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยในด้านต่อไปนี้:

ลดอาการปวด: งานวิจัยจาก Phytotherapy Research พบว่าการรับประทานหรือทาขิงสามารถบรรเทาอาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ อาการก่อนมีประจำเดือน ข้อเข่าเสื่อม หรือไมเกรนได้

ควบคุมการอักเสบเรื้อรัง: เช่นในผู้ป่วยโรคโครห์น ลำไส้อักเสบ รูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน และลูปัส

อาจป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด: ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่าขิงในปริมาณรักษาอาจช่วยปกป้องหัวใจและหลอดเลือดได้

ขิงผงและอาหารเสริมขิง
ขิงผง: มีประโยชน์คล้ายขิงสด แต่ฤทธิ์ต้านอักเสบอาจน้อยกว่าเล็กน้อย

อาหารเสริมขิง: มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงขิงสด แต่อาจสูญเสียสารอาหารบางส่วน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองโดยองค์กรอิสระ เช่น NSF หรือ USP เพื่อความปลอดภัย

วิธีง่าย ๆ ในการใส่ขิงในชีวิตประจำวัน
ชง ชาขิง ด้วยการหั่นขิงสดใส่น้ำร้อน แช่ไว้ 5–10 นาที ดื่มร้อน ๆ

โรย ขิงผง ในซุป สตูว์ หรือขนมอบต่าง ๆ

ใช้ ขิงสดขูด หรือ ขิงเชื่อมสับ เพิ่มในคุกกี้ ขนมปัง หรือของหวาน

ในอาหารคาว ลองผัดขิงสดกับกระเทียม ใส่ในเมนูเต้าหู้หรือไก่ ร่วมกับผัก เช่น ถั่วลันเตา พริกหวาน บรอกโคลี โรยด้วยถั่วลิสง แล้วราดซอสโชยุ+น้ำมันงา+น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย

เคล็ดลับการเลือกและเก็บขิง
เลือกขิงที่เปลือกตึง ไม่เหี่ยว เนื้อแน่น ไม่มีรอยช้ำ หากมีสีเขียวหรือน้ำเงินเล็กน้อยสามารถกินได้

เก็บในลิ้นชักผักในตู้เย็น หรือถุงพลาสติกที่รีดอากาศออก

หากไม่ใช้บ่อย ควรล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง แล้วเก็บ แช่แข็ง ได้ทั้งแบบปอก เปลือก สไลซ์ หรือหั่นละเอียด

ขิงไม่เหมาะกับใคร
แม้ว่าโดยทั่วไปขิงจะถือว่าปลอดภัยต่อการบริโภค และแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีบางกรณีที่บางคนอาจต้องการจำกัดปริมาณการบริโภค หรือหลีกเลี่ยงการบริโภคไปเลยทั้งหมด ไคล์ สเตลเลอร์ แพทย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการแพทย์แห่งโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด และโฆษกของสมาคมระบบทางเดินอาหารแห่งอเมริกา กล่าว

ข้อกังวลที่สำคัญที่สุดคือสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ฮีโมฟีเลีย ซึ่งเลือดไม่แข็งตัวอย่างเหมาะสม ดร.สเตลเลอร์กล่าว ขิงมีคุณสมบัติในการต้านการแข็งตัวของเลือด หรือทำให้เลือดบางลงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกได้

เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟารินหรือแอสไพริน หรือยาต้านเกล็ดเลือดสำหรับสุขภาพหัวใจ เช่น โคลพิโดเกรล จะต้องใช้ความระมัดระวังด้วย "การใช้ขิงร่วมกับยาเหล่านี้อาจเพิ่มฤทธิ์และอาจนำไปสู่การมีเลือดออกมากเกินไปหรือรอยช้ำได้" ดร.สเตลเลอร์อธิบาย

เว็บไซต์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีคำเตือนเกี่ยวกับ "ขิง" ไว้ว่า
- ควรระวังการใช้ร่วมกับสารกันเลือดเป็นลิ่ม (anticoagulants) เช่น Heparin , Warfarin และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets) เช่น Aspirin

- ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดียกเว้นภายใต้การดูแลของแพทย์

- ไม่แนะนำให้รับประทานในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ

- อาการไม่พึงประสงค์อาจพบอาการแสบร้อนบริเวณทางเดินอาหาร อาการระคายเคืองบริเวณปากและคอได้

ที่มา:https://www.sanook.com/news/9797514/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่