ดัชนีการเมืองขยับผลงานนายกฯ “อิ๊งค์”พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง สวนทางฝ่ายค้านตกต่ำลง
https://www.dailynews.co.th/news/4037328/
"สวนดุสิตโพล"เผยผลสำรวจ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2567” พบผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 5.34 คะแนนลดลง ขณะที่ ฝ่ายรัฐบาลนายกฯ "อิ๊งค์"บทบาทและผลงานโดดเด่นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 3 ต.ค.สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “
ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2567” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,136 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนตุลาคม 2567 เฉลี่ย 5.01 คะแนน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ที่ได้ 4.80 คะแนน
ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 5.34 คะแนน (ลดลงจากเดือนกันยายน)ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล เฉลี่ย 4.58 คะแนน นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 52.81 รองลงมาคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 26.40 ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาท โดดเด่นประจำเดือน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 37.80 รองลงมา คือ ศิริกัญญา ตันสกุล ร้อยละ 34.36 ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ มาตรการช่วยน้ำท่วม ร้อยละ40.15 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 49.76
นางสาว
พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดดัชนีผลงานของนายกฯ แพทองธารพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการทำงานของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการตอบสนองปัญหาของประชาชนอย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางด้วยเงินหมื่น มาตรการบรรเทาภัยน้ำท่วม ลดค่าไฟ หรือการแก้ไขปัญหาเชิงรุกในหลายด้าน ซึ่งทั้งหมดได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น
สวนทางกับคะแนนผลงานของฝ่ายค้านที่ปรับตัวลดลงในรอบ 10 เดือนสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในการดำเนินงานแม้ประชาชนจะชื่นชมการอภิปรายของฝ่ายค้านแต่ก็ยังไม่สามารถดึงความสนใจในวงกว้างได้
อาจารย์
วัลลภ ห่างไธสง อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตอธิบายว่า เดือนตุลาคมของทุกปีมักมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทยเกิดขึ้นเสมอ ในเดือนตุลาคมปีนี้
ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ได้แจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางไปแล้วบางส่วน มาตรการการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาในสภาวะวิกฤติของชาติได้อย่างทันท่วงที
ส่วนบทบาทของผู้นำฝ่ายค้านก็ยังคงไม่ได้มีความโดดเด่นมากนัก เนื่องจากยังไม่ได้มีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะเป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่พึ่งเข้ามา โดยในเดือนนี้สถานการณ์การเมืองได้รับผลกระทบจากคดีใหญ่ที่เป็นกระแสสังคมก็คือ คดีดิไอคอน ซึ่งมีการอ้างว่ามีผู้มีอิทธิพลทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ และนักการเมืองได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ก็ได้รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว เพราะมองว่าน่าจะเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ ประชาชนคนไทยทุกคนคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ผลสุดท้ายแล้วคดีนี้จะจบลงอย่างไร
บานเป็นกระด้ง! “ไพศาล” ปูดเรื่องใหญ่ปมนักโทษชั้น14 ส่อมีคนติดร่างแหอื้อ
https://siamrath.co.th/n/577897
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 นาย
ไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความต่อเนื่องผ่านเฟซบุ๊ก “
Paisal Puechmongkol” ระบุว่า...
ด่วน
ป.ป.ช.เตรียมแจ้งความจับ ผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจ ทหารฝ่าฝืนไม่ยอมส่งเวชระเบียน การรักษาคนไข้ชั้น 14 โดยได้ขอแล้วถึง 3 ครั้งก็ไม่ยอมส่งมอบให้ แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการจะปกปิดการกระทำความผิด การกระทำแบบนี้ยิ่งกว่ายิ่งสอบพิรุธ และยิ่งจะลากผู้อื่นเข้ามา ติดร่างแหกันอีกจำนวนมากอย่างแน่นอน ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่มีการร้องขอให้นายกมีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจจัดการส่งเวชระเบียนแล้ว เมื่อไม่มีการปฏิบัติ ความรับผิดจะไปตกอยู่กับนายกด้วย อย่าทำเป็นเล่นไป
-----------
ด่วน
พบเรื่องลับ มีการตรวจพบว่าหนังสือส่งตัวนักโทษที่ถูกหมายขังของศาลออก จากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 นั้น
ได้มีการเตรียมไว้ล่วงหน้า 2 วันก่อนที่จะมีการส่งตัว
ดูท่า เจ้าหน้าที่ของเรือนจำอาจติดคุกกันระนาวเพราะเรื่องนี้
-----------
บานเป็นกระด้ง
ใครทำหนังสือส่งตัวนักโทษไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 กำลังบานเป็นกระด้ง
เพราะนอกจากตรวจพบว่ามีการเตรียมร่างไว้ 2 วันก่อนล่วงหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อาจจะไม่ใช่ผู้ร่างหนังสือนี้ เพราะในการร่างหนังสือราชการนั้น มีระเบียบงานสารบัญไว้ว่า ต้องระบุชื่อผู้ร่างไว้ในสำเนาหนังสือนั้น
และมีข้อสงสัยว่าหนังสือนี้จะร่างมาจากนักกฎหมายของพรรคการเมืองหรือจากทำเนียบรัฐบาลก็ได้ เรื่องนี้จึงบานเป็นกระด้ง
เพราะปัญหาว่าใครเป็นผู้ร่างหนังสือนี้จะไขกุญแจว่าใครคือผู้ที่เกี่ยวข้องในการสมคบกันส่งตัวนักโทษออกจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 246 ที่ไม่ได้ขออนุญาตจากศาลก่อน และเป็นการกระทำการก้าวล่วงขัดหมายศาลด้วย อีกหลายคน
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0dzn3TSnVKrVNhKuR7dpiTbfuzuncetDWZvEzDuEF1etCYgwW2isyLxM3NqHhRPMul
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0ux7bxeeuQR3iyYzkYbsvCRED6xbZmgXgvCfKAS5Yxo1r62knS6w3dqpa3nWyVVgCl
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0ux7bxeeuQR3iyYzkYbsvCRED6xbZmgXgvCfKAS5Yxo1r62knS6w3dqpa3nWyVVgCl
9 เดือนแรกไทย ขาดดุลการค้า 2 แสนล้าน แม้ส่งออกโต นำเข้าสินค้าตลาดจีนยังพุ่ง
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1151496
• เปิดข้อมูลตัวเลขนำเข้าสินค้าไทย 9 เดือนแรก 2.29 แสนล้าน ขยายตัว 5% จากปีก่อน
• ไทยขาดดุลการค้าในช่วง 9 เดือนแรกกว่า 2 แสนล้านบาท
• ยอดนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปและสินค้าทุนยังพุ่งสูง
• ตลาดสินค้าที่ไทยนำเข้าเพิ่มยังเป็นการขยายตัวในตลาดจีน ฮ่องกง และ CLMV
การส่งออกและนำเข้าถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ โดยหากการนำเข้าสอดคล้องกับการผลิต และการส่งออกที่ขยายตัวก็หมายความว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย
การส่งออกของประเทศไทยในปี 2567 ถือว่ากลับมาฟื้นตัวได้อย่างน่าพอใจในระดับหนึ่ง โดยภาพรวมการส่งออกไทย 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 223,176 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.9 % เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 4.2 % โดยกระทรวงพาณิชย์คาดหวังว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 2% และมูลค่าการส่งออกรวมจะพุ่งไปแตะ 2.9 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามในส่วนของตัวเลขการนำเข้าก็พบว่ายังมีมูลค่าสูง โดยใน 9 เดือนแรกประเทศไทยมีการนำเข้าสินค้ามูลค่ารวม 229,132.8 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.5 % ดุลการค้า 9 เดือนแรก ขาดดุลการค้า 5,956.8 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวเลขการนำเข้าสินค้าของไทยสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะมูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน ก.ย. อยู่ที่ 25,588.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวสูง 9.9% นับเป็นการขยายตัวสูงติดต่อกันแล้ว 4 เดือน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่าการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นของไทยนั้นเป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวสูง 25.7% 13.8% และ 9.7% ตามลำดับ
ขณะที่การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัวแรงต่อเนื่อง -36.6% เทียบ -23.8% ในเดือนก่อน และการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงพลิกกลับมาหดตัว -11.3% อย่างไรก็ตาม ดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้เกินดุลติดต่อกัน 2 เดือนอยู่ที่ 394.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สวนทางกับภาพรวม 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 ดุลการค้าไทยยังคงขาดดุลฯ 5,956.83 ล้านดอลลาร์
ไทยนำเข้าสินค้าจากฮ่องกง และจีนพุ่ง
ส่วนการนำเข้าสินค้าของประเทศไทยจากประเทศ และเขตเศรษฐกิจต่างๆจากข้อมูลจะเห็นว่ามีการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ การนำเข้าจากฮ่องกงในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 104% การนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 11.1% การนำเข้าสินค้าจาก CLMV เพิ่มขึ้น 5.8% นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 3.3% ขณะที่ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้าลดลงมากในปีนี้คือนำเข้าจากญี่ปุ่นลดลง 11.3% นำเข้าจากออสเตรเลียลดลง 26.9% และนำเข้าจากอินเดียลดลง 7.1%
ทั้งนี้น่าสนใจว่าการนำเข้าสินค้าจากฮ่องกงและจีนมีการขยายตัวมากในเดือน ก.ย.ขยายตัวมากเป็นพิเศษ โดยในเดือน ก.ย.การนำเข้าสินค้าจากฮ่องกงเพิ่มขึ้น 593.2% และจากจีนเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ย. 16.9%
จากตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากจีน และฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของด่านการส่งออกสินค้าที่สำคัญจากจีน เป็นตัวเลขหนึ่งที่บอกว่าการแก้ปัญหาสินค้านำเข้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยจนกระทบกับผู้ผลิตและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในไทยนั้นยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการเรื่องนี้ควบคู่กับการหามาตรการมารองรับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่ทะลักเข้ามาขายในไทยให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
นอกจากนี้ SCB EIC ยังประเมินว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวได้ 2.6% และในปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.8% ตามลำดับ) อย่างไรก็ดี ตัวเลขส่งออก 2 เดือนที่ผ่านมาขยายตัวได้สูงกว่าที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้และสูงกว่ามุมมองตลาดมาก ส่วนหนึ่งจากการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลกและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออกในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 ขยายตัวถึง 3.9% (ตัวเลขระบบศุลกากร)
ประกอบกับมูลค่าการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากผลของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นและปัจจัยฐานที่ค่อนข้างต่ำ มูลค่าการส่งออกปีนี้จึงมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าประมาณการเดิมที่ 2.6% ซึ่ง SCB EIC อยู่ระหว่างการปรับประมาณการส่งออกต่อไป
5 ปัจจัยท้าทายส่งออก
อย่างไรก็ดี มีปัจจัยที่ต้องพิจารณารอบด้านในเรื่องของการส่งออกที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่
1. เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะภาคการผลิตที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการค้าโลกสูงหดตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 นอกจากนี้ องค์ประกอบของดัชนี PMI ที่สะท้อนอนาคต เช่น ยอดคำสั่งซื้อใหม่และคาดการณ์ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลง (รูปที่ 4) ในระยะข้างหน้าจะมีปัจจัยลบกดดันเศรษฐกิจและการค้าโลกมากขึ้น อาทิ ความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามในหลายพื้นที่มีความยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นที่อาจทำให้ค่าระวางเรือกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง (รูปที่ 6 ขวา) และมาตรการกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ
2. China overcapacity ทำให้จีนส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอุปสงค์ในจีนยังซบเซา ซึ่งอาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีน ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก (รูปที่ 5 ขวา)
3. อินเดียยกเลิกการห้ามส่งออกข้าว หลังจากควบคุมการส่งออกข้าวมาตั้งแต่ ก.ค. 2023 อาจส่งผลให้ราคาและปริมาณข้าวไทยส่งออกลดลง เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดโลกที่มากขึ้น และไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวที่ได้เพิ่มมากลับคืนให้อินเดีย
JJNY : ดัชนีการเมืองขยับผลงาน“อิ๊งค์”พุ่ง│“ไพศาล”ปูดปมนักโทษชั้น14│9 ด.ไทย ขาดดุลการค้า 2 แสนล.│คาดหิมะจะตกบนภูเขาไฟฟูจิ
https://www.dailynews.co.th/news/4037328/
เมื่อวันที่ 3 ต.ค.สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2567” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,136 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนตุลาคม 2567 เฉลี่ย 5.01 คะแนน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ที่ได้ 4.80 คะแนน
ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 5.34 คะแนน (ลดลงจากเดือนกันยายน)ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล เฉลี่ย 4.58 คะแนน นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 52.81 รองลงมาคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 26.40 ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาท โดดเด่นประจำเดือน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 37.80 รองลงมา คือ ศิริกัญญา ตันสกุล ร้อยละ 34.36 ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ มาตรการช่วยน้ำท่วม ร้อยละ40.15 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 49.76
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดดัชนีผลงานของนายกฯ แพทองธารพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการทำงานของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการตอบสนองปัญหาของประชาชนอย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางด้วยเงินหมื่น มาตรการบรรเทาภัยน้ำท่วม ลดค่าไฟ หรือการแก้ไขปัญหาเชิงรุกในหลายด้าน ซึ่งทั้งหมดได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น
สวนทางกับคะแนนผลงานของฝ่ายค้านที่ปรับตัวลดลงในรอบ 10 เดือนสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในการดำเนินงานแม้ประชาชนจะชื่นชมการอภิปรายของฝ่ายค้านแต่ก็ยังไม่สามารถดึงความสนใจในวงกว้างได้
อาจารย์วัลลภ ห่างไธสง อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตอธิบายว่า เดือนตุลาคมของทุกปีมักมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทยเกิดขึ้นเสมอ ในเดือนตุลาคมปีนี้
ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ได้แจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางไปแล้วบางส่วน มาตรการการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาในสภาวะวิกฤติของชาติได้อย่างทันท่วงที
ส่วนบทบาทของผู้นำฝ่ายค้านก็ยังคงไม่ได้มีความโดดเด่นมากนัก เนื่องจากยังไม่ได้มีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะเป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่พึ่งเข้ามา โดยในเดือนนี้สถานการณ์การเมืองได้รับผลกระทบจากคดีใหญ่ที่เป็นกระแสสังคมก็คือ คดีดิไอคอน ซึ่งมีการอ้างว่ามีผู้มีอิทธิพลทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ และนักการเมืองได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ก็ได้รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว เพราะมองว่าน่าจะเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ ประชาชนคนไทยทุกคนคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ผลสุดท้ายแล้วคดีนี้จะจบลงอย่างไร
บานเป็นกระด้ง! “ไพศาล” ปูดเรื่องใหญ่ปมนักโทษชั้น14 ส่อมีคนติดร่างแหอื้อ
https://siamrath.co.th/n/577897
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความต่อเนื่องผ่านเฟซบุ๊ก “Paisal Puechmongkol” ระบุว่า...
ด่วน
ป.ป.ช.เตรียมแจ้งความจับ ผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจ ทหารฝ่าฝืนไม่ยอมส่งเวชระเบียน การรักษาคนไข้ชั้น 14 โดยได้ขอแล้วถึง 3 ครั้งก็ไม่ยอมส่งมอบให้ แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการจะปกปิดการกระทำความผิด การกระทำแบบนี้ยิ่งกว่ายิ่งสอบพิรุธ และยิ่งจะลากผู้อื่นเข้ามา ติดร่างแหกันอีกจำนวนมากอย่างแน่นอน ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่มีการร้องขอให้นายกมีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจจัดการส่งเวชระเบียนแล้ว เมื่อไม่มีการปฏิบัติ ความรับผิดจะไปตกอยู่กับนายกด้วย อย่าทำเป็นเล่นไป
-----------
ด่วน
พบเรื่องลับ มีการตรวจพบว่าหนังสือส่งตัวนักโทษที่ถูกหมายขังของศาลออก จากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 นั้น
ได้มีการเตรียมไว้ล่วงหน้า 2 วันก่อนที่จะมีการส่งตัว
ดูท่า เจ้าหน้าที่ของเรือนจำอาจติดคุกกันระนาวเพราะเรื่องนี้
-----------
บานเป็นกระด้ง
ใครทำหนังสือส่งตัวนักโทษไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 กำลังบานเป็นกระด้ง
เพราะนอกจากตรวจพบว่ามีการเตรียมร่างไว้ 2 วันก่อนล่วงหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อาจจะไม่ใช่ผู้ร่างหนังสือนี้ เพราะในการร่างหนังสือราชการนั้น มีระเบียบงานสารบัญไว้ว่า ต้องระบุชื่อผู้ร่างไว้ในสำเนาหนังสือนั้น
และมีข้อสงสัยว่าหนังสือนี้จะร่างมาจากนักกฎหมายของพรรคการเมืองหรือจากทำเนียบรัฐบาลก็ได้ เรื่องนี้จึงบานเป็นกระด้ง
เพราะปัญหาว่าใครเป็นผู้ร่างหนังสือนี้จะไขกุญแจว่าใครคือผู้ที่เกี่ยวข้องในการสมคบกันส่งตัวนักโทษออกจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 246 ที่ไม่ได้ขออนุญาตจากศาลก่อน และเป็นการกระทำการก้าวล่วงขัดหมายศาลด้วย อีกหลายคน
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0dzn3TSnVKrVNhKuR7dpiTbfuzuncetDWZvEzDuEF1etCYgwW2isyLxM3NqHhRPMul
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0ux7bxeeuQR3iyYzkYbsvCRED6xbZmgXgvCfKAS5Yxo1r62knS6w3dqpa3nWyVVgCl
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0ux7bxeeuQR3iyYzkYbsvCRED6xbZmgXgvCfKAS5Yxo1r62knS6w3dqpa3nWyVVgCl
9 เดือนแรกไทย ขาดดุลการค้า 2 แสนล้าน แม้ส่งออกโต นำเข้าสินค้าตลาดจีนยังพุ่ง
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1151496
• เปิดข้อมูลตัวเลขนำเข้าสินค้าไทย 9 เดือนแรก 2.29 แสนล้าน ขยายตัว 5% จากปีก่อน
• ไทยขาดดุลการค้าในช่วง 9 เดือนแรกกว่า 2 แสนล้านบาท
• ยอดนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปและสินค้าทุนยังพุ่งสูง
• ตลาดสินค้าที่ไทยนำเข้าเพิ่มยังเป็นการขยายตัวในตลาดจีน ฮ่องกง และ CLMV
การส่งออกและนำเข้าถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ โดยหากการนำเข้าสอดคล้องกับการผลิต และการส่งออกที่ขยายตัวก็หมายความว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย
การส่งออกของประเทศไทยในปี 2567 ถือว่ากลับมาฟื้นตัวได้อย่างน่าพอใจในระดับหนึ่ง โดยภาพรวมการส่งออกไทย 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 223,176 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.9 % เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 4.2 % โดยกระทรวงพาณิชย์คาดหวังว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 2% และมูลค่าการส่งออกรวมจะพุ่งไปแตะ 2.9 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามในส่วนของตัวเลขการนำเข้าก็พบว่ายังมีมูลค่าสูง โดยใน 9 เดือนแรกประเทศไทยมีการนำเข้าสินค้ามูลค่ารวม 229,132.8 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.5 % ดุลการค้า 9 เดือนแรก ขาดดุลการค้า 5,956.8 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวเลขการนำเข้าสินค้าของไทยสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะมูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน ก.ย. อยู่ที่ 25,588.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวสูง 9.9% นับเป็นการขยายตัวสูงติดต่อกันแล้ว 4 เดือน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่าการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นของไทยนั้นเป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวสูง 25.7% 13.8% และ 9.7% ตามลำดับ
ขณะที่การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัวแรงต่อเนื่อง -36.6% เทียบ -23.8% ในเดือนก่อน และการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงพลิกกลับมาหดตัว -11.3% อย่างไรก็ตาม ดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้เกินดุลติดต่อกัน 2 เดือนอยู่ที่ 394.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สวนทางกับภาพรวม 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 ดุลการค้าไทยยังคงขาดดุลฯ 5,956.83 ล้านดอลลาร์
ไทยนำเข้าสินค้าจากฮ่องกง และจีนพุ่ง
ส่วนการนำเข้าสินค้าของประเทศไทยจากประเทศ และเขตเศรษฐกิจต่างๆจากข้อมูลจะเห็นว่ามีการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ การนำเข้าจากฮ่องกงในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 104% การนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 11.1% การนำเข้าสินค้าจาก CLMV เพิ่มขึ้น 5.8% นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 3.3% ขณะที่ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้าลดลงมากในปีนี้คือนำเข้าจากญี่ปุ่นลดลง 11.3% นำเข้าจากออสเตรเลียลดลง 26.9% และนำเข้าจากอินเดียลดลง 7.1%
ทั้งนี้น่าสนใจว่าการนำเข้าสินค้าจากฮ่องกงและจีนมีการขยายตัวมากในเดือน ก.ย.ขยายตัวมากเป็นพิเศษ โดยในเดือน ก.ย.การนำเข้าสินค้าจากฮ่องกงเพิ่มขึ้น 593.2% และจากจีนเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ย. 16.9%
จากตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากจีน และฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของด่านการส่งออกสินค้าที่สำคัญจากจีน เป็นตัวเลขหนึ่งที่บอกว่าการแก้ปัญหาสินค้านำเข้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยจนกระทบกับผู้ผลิตและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในไทยนั้นยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการเรื่องนี้ควบคู่กับการหามาตรการมารองรับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่ทะลักเข้ามาขายในไทยให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
นอกจากนี้ SCB EIC ยังประเมินว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวได้ 2.6% และในปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.8% ตามลำดับ) อย่างไรก็ดี ตัวเลขส่งออก 2 เดือนที่ผ่านมาขยายตัวได้สูงกว่าที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้และสูงกว่ามุมมองตลาดมาก ส่วนหนึ่งจากการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลกและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออกในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 ขยายตัวถึง 3.9% (ตัวเลขระบบศุลกากร)
ประกอบกับมูลค่าการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากผลของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นและปัจจัยฐานที่ค่อนข้างต่ำ มูลค่าการส่งออกปีนี้จึงมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าประมาณการเดิมที่ 2.6% ซึ่ง SCB EIC อยู่ระหว่างการปรับประมาณการส่งออกต่อไป
5 ปัจจัยท้าทายส่งออก
อย่างไรก็ดี มีปัจจัยที่ต้องพิจารณารอบด้านในเรื่องของการส่งออกที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่
1. เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะภาคการผลิตที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการค้าโลกสูงหดตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 นอกจากนี้ องค์ประกอบของดัชนี PMI ที่สะท้อนอนาคต เช่น ยอดคำสั่งซื้อใหม่และคาดการณ์ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลง (รูปที่ 4) ในระยะข้างหน้าจะมีปัจจัยลบกดดันเศรษฐกิจและการค้าโลกมากขึ้น อาทิ ความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามในหลายพื้นที่มีความยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นที่อาจทำให้ค่าระวางเรือกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง (รูปที่ 6 ขวา) และมาตรการกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ
2. China overcapacity ทำให้จีนส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอุปสงค์ในจีนยังซบเซา ซึ่งอาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีน ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก (รูปที่ 5 ขวา)
3. อินเดียยกเลิกการห้ามส่งออกข้าว หลังจากควบคุมการส่งออกข้าวมาตั้งแต่ ก.ค. 2023 อาจส่งผลให้ราคาและปริมาณข้าวไทยส่งออกลดลง เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดโลกที่มากขึ้น และไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวที่ได้เพิ่มมากลับคืนให้อินเดีย