เช็กเสียงปชช. ‘โกรธมาก’ ถ้ายกเลิกแจกดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 คนไม่โกรธ หากแบ่งจ่าย 2 งวด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4843612
นิด้าโพลเช็กเสียงปชช. พบ ‘โกรธมาก’ ถ้ารบ.ยกเลิกแจกดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 เกินครึ่งไม่โกรธเลย หากแบ่งจ่าย 2 งวด
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “
นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2
การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
เมื่อถามถึงสถานะการได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ของประชาชน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 56.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสที่ 2 รองลงมา ร้อยละ 23.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใดๆ ร้อยละ 17.00 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินสด 10,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว และร้อยละ 2.10 ระบุว่า ไม่แน่ใจ
เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 และผู้ที่ระบุว่าไม่แน่ใจ (จำนวน 1,181 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ดังนี้
– รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการ ไม่มีการจ่ายเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.58 ระบุว่า โกรธมาก รองลงมา ร้อยละ 34.38 ระบุว่า ไม่โกรธเลย ร้อยละ 14.56 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.14 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
– เป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่น้อยกว่า 10,000 บาท เช่น จ่ายแค่ 5,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.30 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 24.47 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 21.25 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 13.64 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
– เป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.54 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 17.53 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 12.11 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.31 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.51 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
– เป็นการแบ่งจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต เช่น งวดละ 5,000 บาท จำนวนสองงวด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.88 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 20.07 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 10.58 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 8.30 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.17 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุด เมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใดๆ (จำนวน 479 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.44 ระบุว่า รัฐบาลควรแจกเงินให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มนั้นจะมีรายได้หรือทรัพย์สินเท่าไรรองลงมา ร้อยละ 25.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินให้แก่กลุ่มใดๆ ร้อยละ 25.25 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้เปราะบาง ผู้พิการ เท่านั้น ร้อยละ 15.66 ระบุว่า เห็นด้วยกับการแจกเงินทั้งแบบเงินสดแก่ผู้เปราะบาง ผู้พิการ และแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 ร้อยละ 2.30 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเป็นรูปแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 เท่านั้น และร้อยละ 1.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
หรือ
คลิก เพื่ออ่านฉบับเต็ม
https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=721
โพลเผยประชาชนคาดหวัง ผบ.ตร.คนใหม่ เร่งปฏิรูปองค์กรตำรวจให้โปร่งใส
https://www.dailynews.co.th/news/3968795/
สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ “ความคาดหวังต่อการทำงานของ ผบ.ตร.คนใหม่” เร่งปฏิรูปองค์กรตำรวจให้โปร่งใส ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น ยกระดับมาตรฐานการทำงานของตำรวจให้ดีขึ้น
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “
ความคาดหวังต่อการทำงานของ ผบ.ตร.คนใหม่” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,244 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 ตุลาคม 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่าปัญหาขององค์กรตำรวจ ณ วันนี้ คือ การมีความขัดแย้งภายในองค์กร ร้อยละ 65.84 สิ่งที่อยากให้ผบ.ตร.คนใหม่ เร่งดำเนินการ คือ การปฏิรูปองค์กรตำรวจให้โปร่งใส ร้อยละ 76.49 โดยรวมค่อนข้างคาดหวังกับ ผบ.ตร. คนใหม่ ร้อยละ 45.90 สิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น คือ ต้องยกระดับมาตรฐานการทำงานของตำรวจให้ดีขึ้น ร้อยละ 73.70 สุดท้ายสิ่งที่อยากบอกเป็นพิเศษกับ ผบ.ตร.คนใหม่ คือ ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ทำเพื่อประชาชน ร้อยละ 43.13
นางสาว
พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล กล่าวว่า จากผลการสำรวจชี้ว่าความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม ประชาชนจึงอยากเห็นการปฏิรูปองค์กรตำรวจ ยกระดับมาตรฐานการทำงาน สร้างผลงานที่จับต้องได้ และเร่งจัดการปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์โดยด่วน โดยมีความหวังว่า ผบ.ตร.คนใหม่จะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเร่งทำงานช่วยเหลือประชาชน
ว่าที่ ร้อยเอก
ศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรกฎหมายมหาชนและบริหารงานยุติธรรม โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อธิบายว่า ประชาชนเห็นว่าปัญหาใหญ่สุดขององค์กรตำรวจ คือ ปัญหาความขัดแย้งภายใน ที่ผ่านมามีปัญหาการแย่งชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. ใช้ระบบอุปถัมภ์ วิ่งเต้นให้ได้ตำแหน่ง นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชัน เกิดภาพลบในวงการตำรวจ นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการแก้ปัญหายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการบริการประชาชน ยังไม่มีประสิทธิภาพจึงทำให้เกิดปัญหาสังคม ปกติแล้วเวลาประชาชนเดือดร้อนมักจะนึกถึงตำรวจเพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมาย แต่เมื่อไปแจ้งความแล้วมักจะไม่คืบหน้า ทำให้รู้สึกว่าพึ่งพาตำรวจไม่ได้ ความศรัทธาที่มีจึงลดน้อยถอยลงไปมาก เมื่อมีผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่จึงต้องการเห็นการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ทำเพื่อประชาชน ปฏิรูปองค์กรตำรวจให้มีความโปร่งใส มีมาตรฐานที่ดีในการทำงานเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ.
พิษเศรษฐกิจ หนี้เรื้อรัง ธุรกิจเอสเอ็มอีคนชั้นกลาง แห่ขายบ้าน ที่ดิน ชำระหนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4843544
พิษเศรษฐกิจ หนี้เรื้อรัง ธุรกิจเอสเอ็มอีคนชั้นกลาง แห่ขายบ้าน ที่ดิน ชำระหนี้
นายปรีชา ศุภปิติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์บ้านมือสองที่เข้าสู่ตลาดมี 2 ประเภท คือ เจ้าของขายเองกับถูกบังคับให้ขายเพราะเป็นหนี้เสีย ซึ่งมีเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังโควิด เนื่องจากหมดมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทำให้เป็นหนี้เสียถูกบังคับให้ขายชำระหนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีปัญหา เริ่มนำที่ดินมาฝากขายมากขึ้น ส่วนคนมีรายได้ระดับปานกลาง เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายก็เริ่มเป็นหนี้เสีย จะนำบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียมมาฝากขายมากขึ้นเช่นกัน ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล
นายปรีชากล่าวว่า ทั้งนี้ทรัพย์มือสองเริ่มเป็นที่สนใจของบริษัทรับซื้อหนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันและซื้อหนี้แพงขึ้น โดยเฉพาะบ้านต่ำ 5 ล้านบาทที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเพราะอยู่ในทำเลที่ดี ขณะที่ราคาขายไม่สูงมาก สมเหตุสมผลกับภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้บ้านมือสองมีการซื้อขายเปลี่ยนมือคล่องกว่าบ้านมือหนึ่งที่กู้ไม่ผ่านสูง
แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ ทำให้ตลาดเริ่มชะลอตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก การเมืองไม่เสถียร นโยบายเศรษฐกิจเดินได้ไม่เต็มที่ แต่หวังว่าเมื่อรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน น่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น คนมีรายได้เพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง สิ้นในไตรมาส2/2567 มีจำนวนที่ประกาศทั่วประเทศ จำนวน 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มีบ้านมือสอง ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถในการผ่อน โดยเฉพาะบ้านราคาถูกที่มีออกมาค่อนข้างมาก ส่วนบ้านมือสองราคาแพงก็มากขึ้นด้วยในส่วนของคอนโดที่มีการซื้อไว้ปล่อยเช่า เมื่อไม่มีผู้เช่าก็นำออกมาขาย
ประเภทของที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุดใน 3 ประเภทแรก ได้แก่
1.บ้านเดี่ยว จำนวน 55,754 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.6 และมีมูลค่า 373,917 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
2.ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 41,384 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.4 มูลค่า 105,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.6 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
3.ห้องชุด จำนวน 35,963 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 มูลค่า 201,887 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.1 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
สำหรับอาคารพาณิชย์ และ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มีสัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าประกาศขายน้อยที่สุด โดยอาคารพาณิชย์มีจำนวนเพียง 5,326 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 มีมูลค่า 30,635 ล้านบาท เป็นสัดส่วนร้อยละ 4.3 ในขณะที่บ้านแฝดมีจำนวนเพียง 2,298 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 6,805 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.9
โดยกรุงเทพฯ มีจำนวนประกาศขายสูงสุด 42,377 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.1 มีมูลค่า386,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.8 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/economy/news_4843544
JJNY : เช็กเสียงปชช. ‘โกรธมาก’│โพลเผยปชช.คาดหวัง ผบ.ตร.คนใหม่│พิษศก. แห่ขายบ้าน ที่ดิน│ทหารยูเอ็นลั่นปักหลักในเลบานอน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4843612
นิด้าโพลเช็กเสียงปชช. พบ ‘โกรธมาก’ ถ้ารบ.ยกเลิกแจกดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 เกินครึ่งไม่โกรธเลย หากแบ่งจ่าย 2 งวด
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2
การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
เมื่อถามถึงสถานะการได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ของประชาชน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 56.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสที่ 2 รองลงมา ร้อยละ 23.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใดๆ ร้อยละ 17.00 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินสด 10,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว และร้อยละ 2.10 ระบุว่า ไม่แน่ใจ
เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 และผู้ที่ระบุว่าไม่แน่ใจ (จำนวน 1,181 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ดังนี้
– รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการ ไม่มีการจ่ายเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.58 ระบุว่า โกรธมาก รองลงมา ร้อยละ 34.38 ระบุว่า ไม่โกรธเลย ร้อยละ 14.56 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.14 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
– เป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่น้อยกว่า 10,000 บาท เช่น จ่ายแค่ 5,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.30 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 24.47 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 21.25 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 13.64 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
– เป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.54 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 17.53 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 12.11 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.31 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.51 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
– เป็นการแบ่งจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต เช่น งวดละ 5,000 บาท จำนวนสองงวด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.88 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 20.07 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 10.58 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 8.30 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.17 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุด เมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใดๆ (จำนวน 479 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.44 ระบุว่า รัฐบาลควรแจกเงินให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มนั้นจะมีรายได้หรือทรัพย์สินเท่าไรรองลงมา ร้อยละ 25.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินให้แก่กลุ่มใดๆ ร้อยละ 25.25 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้เปราะบาง ผู้พิการ เท่านั้น ร้อยละ 15.66 ระบุว่า เห็นด้วยกับการแจกเงินทั้งแบบเงินสดแก่ผู้เปราะบาง ผู้พิการ และแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 ร้อยละ 2.30 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเป็นรูปแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 เท่านั้น และร้อยละ 1.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
หรือ คลิก เพื่ออ่านฉบับเต็ม
https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=721
โพลเผยประชาชนคาดหวัง ผบ.ตร.คนใหม่ เร่งปฏิรูปองค์กรตำรวจให้โปร่งใส
https://www.dailynews.co.th/news/3968795/
สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ “ความคาดหวังต่อการทำงานของ ผบ.ตร.คนใหม่” เร่งปฏิรูปองค์กรตำรวจให้โปร่งใส ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น ยกระดับมาตรฐานการทำงานของตำรวจให้ดีขึ้น
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ความคาดหวังต่อการทำงานของ ผบ.ตร.คนใหม่” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,244 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 ตุลาคม 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่าปัญหาขององค์กรตำรวจ ณ วันนี้ คือ การมีความขัดแย้งภายในองค์กร ร้อยละ 65.84 สิ่งที่อยากให้ผบ.ตร.คนใหม่ เร่งดำเนินการ คือ การปฏิรูปองค์กรตำรวจให้โปร่งใส ร้อยละ 76.49 โดยรวมค่อนข้างคาดหวังกับ ผบ.ตร. คนใหม่ ร้อยละ 45.90 สิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น คือ ต้องยกระดับมาตรฐานการทำงานของตำรวจให้ดีขึ้น ร้อยละ 73.70 สุดท้ายสิ่งที่อยากบอกเป็นพิเศษกับ ผบ.ตร.คนใหม่ คือ ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ทำเพื่อประชาชน ร้อยละ 43.13
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล กล่าวว่า จากผลการสำรวจชี้ว่าความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม ประชาชนจึงอยากเห็นการปฏิรูปองค์กรตำรวจ ยกระดับมาตรฐานการทำงาน สร้างผลงานที่จับต้องได้ และเร่งจัดการปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์โดยด่วน โดยมีความหวังว่า ผบ.ตร.คนใหม่จะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเร่งทำงานช่วยเหลือประชาชน
ว่าที่ ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรกฎหมายมหาชนและบริหารงานยุติธรรม โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อธิบายว่า ประชาชนเห็นว่าปัญหาใหญ่สุดขององค์กรตำรวจ คือ ปัญหาความขัดแย้งภายใน ที่ผ่านมามีปัญหาการแย่งชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. ใช้ระบบอุปถัมภ์ วิ่งเต้นให้ได้ตำแหน่ง นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชัน เกิดภาพลบในวงการตำรวจ นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการแก้ปัญหายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการบริการประชาชน ยังไม่มีประสิทธิภาพจึงทำให้เกิดปัญหาสังคม ปกติแล้วเวลาประชาชนเดือดร้อนมักจะนึกถึงตำรวจเพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมาย แต่เมื่อไปแจ้งความแล้วมักจะไม่คืบหน้า ทำให้รู้สึกว่าพึ่งพาตำรวจไม่ได้ ความศรัทธาที่มีจึงลดน้อยถอยลงไปมาก เมื่อมีผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่จึงต้องการเห็นการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ทำเพื่อประชาชน ปฏิรูปองค์กรตำรวจให้มีความโปร่งใส มีมาตรฐานที่ดีในการทำงานเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ.
พิษเศรษฐกิจ หนี้เรื้อรัง ธุรกิจเอสเอ็มอีคนชั้นกลาง แห่ขายบ้าน ที่ดิน ชำระหนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4843544
พิษเศรษฐกิจ หนี้เรื้อรัง ธุรกิจเอสเอ็มอีคนชั้นกลาง แห่ขายบ้าน ที่ดิน ชำระหนี้
นายปรีชา ศุภปิติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์บ้านมือสองที่เข้าสู่ตลาดมี 2 ประเภท คือ เจ้าของขายเองกับถูกบังคับให้ขายเพราะเป็นหนี้เสีย ซึ่งมีเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังโควิด เนื่องจากหมดมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทำให้เป็นหนี้เสียถูกบังคับให้ขายชำระหนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีปัญหา เริ่มนำที่ดินมาฝากขายมากขึ้น ส่วนคนมีรายได้ระดับปานกลาง เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายก็เริ่มเป็นหนี้เสีย จะนำบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียมมาฝากขายมากขึ้นเช่นกัน ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล
นายปรีชากล่าวว่า ทั้งนี้ทรัพย์มือสองเริ่มเป็นที่สนใจของบริษัทรับซื้อหนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันและซื้อหนี้แพงขึ้น โดยเฉพาะบ้านต่ำ 5 ล้านบาทที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเพราะอยู่ในทำเลที่ดี ขณะที่ราคาขายไม่สูงมาก สมเหตุสมผลกับภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้บ้านมือสองมีการซื้อขายเปลี่ยนมือคล่องกว่าบ้านมือหนึ่งที่กู้ไม่ผ่านสูง
แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ ทำให้ตลาดเริ่มชะลอตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก การเมืองไม่เสถียร นโยบายเศรษฐกิจเดินได้ไม่เต็มที่ แต่หวังว่าเมื่อรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน น่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น คนมีรายได้เพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง สิ้นในไตรมาส2/2567 มีจำนวนที่ประกาศทั่วประเทศ จำนวน 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มีบ้านมือสอง ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถในการผ่อน โดยเฉพาะบ้านราคาถูกที่มีออกมาค่อนข้างมาก ส่วนบ้านมือสองราคาแพงก็มากขึ้นด้วยในส่วนของคอนโดที่มีการซื้อไว้ปล่อยเช่า เมื่อไม่มีผู้เช่าก็นำออกมาขาย
ประเภทของที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุดใน 3 ประเภทแรก ได้แก่
1.บ้านเดี่ยว จำนวน 55,754 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.6 และมีมูลค่า 373,917 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
2.ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 41,384 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.4 มูลค่า 105,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.6 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
3.ห้องชุด จำนวน 35,963 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 มูลค่า 201,887 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.1 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
สำหรับอาคารพาณิชย์ และ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มีสัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าประกาศขายน้อยที่สุด โดยอาคารพาณิชย์มีจำนวนเพียง 5,326 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 มีมูลค่า 30,635 ล้านบาท เป็นสัดส่วนร้อยละ 4.3 ในขณะที่บ้านแฝดมีจำนวนเพียง 2,298 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 6,805 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.9
โดยกรุงเทพฯ มีจำนวนประกาศขายสูงสุด 42,377 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.1 มีมูลค่า386,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.8 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_4843544