JJNY : 5in1 ถามสมการวัดใจ│นันทนาชี้กมธ.ส.ว.กลับมติ│ดับแล้ว 52 ราย│ชป.เชียงใหม่แจ้งเตือนฝนถล่ม│เนปาลน้ำท่วมเสียชีวิต 10

นักเศรษฐศาสตร์ รัวทฤษฎีแน่น ถามสมการวัดใจ ‘กองทัพ’ ทำเพื่ออุดมการณ์ ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4817096
 
 
นักเศรษฐศาสตร์ รัวทฤษฎีแน่น ถามสมการวัดใจ ‘กองทัพ’ ทำเพื่ออุดมการณ์ ?

เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ห้องประชุมมาลัย หุวะนันท์ชั้น 13 อาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ความมั่นคงภายใน: อำนาจของทหาร ภารกิจของประชาชน“ เนื่องในโอกาสตีพิมพ์หนังสือ “ในนามของความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมของกองทัพในสังคมไทย” ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาฯ

ทั้งนี้ หลังจากมีจากกรณี หนังสือถูกพิจารณาให้แบนโดย กอ.รมน. ทำให้เกิดกระแสสนใจในตัวหนังสือเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ ก่อนถึงกำหนดจัดงานมีการแจ้งเปลี่ยนสถานที่จัดงานหลายครั้งจากเดิมคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ไปยังห้องอีเวนท์สเปซ ชั้น 2 หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ซอยเกษมสันต์ 2 เขตปทุมวัน ก่อนมีการประกาศย้ายกลับมายังจุฬาฯ เช่นเดิม

บรรยากาศเวลา 15.30 น. ร่วมเสวนาโดย ผศ.ดร.กรพินธุ์ พัวพันสวัสดิ์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาฯ, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS), Japan ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในตอนหนึ่ง รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวว่า ตนอยากจะชวนคุย 3 ข้อคือ 1.ชวนคิดต่อยอดทางทฤษฎี 2.ชวนมองความสัมพันธ์ต่อระบบการเมือง และ 3.ภาพใหญ่ของรัฐราชการไทย ที่ตนคิดว่า กอ.รมน.อยู่ในแนวโน้มทิศทางของรัฐไทยที่มีความสอดคล้องกันบางอย่าง

ถ้าสันติบาล หรือฝ่ายความมั่นคง ทนฟังผมได้ 5 นาที แล้วจดประเด็นไปบอกนายได้อย่างถูกต้อง ควรจะได้เลื่อนขั้น เพราะผมจะเริ่มที่ทฤษฎี

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า งานของ รศ.ดร.พวงทอง สามารถต่อยอดในเชิงไอเดียอุดมการณ์ได้ ถามแบบชาวบ้าน ‘คุณคิดว่ากองทัพทำงานด้วยอุดมการณ์ หรือด้วยผลประโยชน์ ?’ โดยผู้ร่วมงานกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันว่า ‘ผลประโยชน์

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า คำถามนี้มีนัยยะทางทฤษฎีด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองอย่างเดียว เพราะการนิยามภัยคุกคามให้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ 3 จังหวัดชายแดนใต้, ความแตกแยกในสังคม และมีแนวโน้มไปที่เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ สุดท้ายมันเป็นเรื่องอุมดมการณ์ หรือผลประโยชน์

ในทางทฤษฎี 2 คำนี้จะอยู่ในการอธิบายทางสังคมศาสตร์แทบทุกงาน ‘คุณคิดว่าพฤติกรรม หรือนโยบายๆ หนึ่งๆ ที่มาจากรัฐบาลมันมาจากอะไร’ สายที่เชื่อเรื่องผลประโยชน์ สมการจะง่ายมาก ดูได้เลยว่าตำแหน่งอยู่ที่ไหน นโยบายให้ผลประโยชน์หรือเปล่า ยกตัวอย่าง ‘ญี่ปุ่น’ มีกำแพงภาษีสินค้านำเข้าโดยเฉพาะ ‘ข้าว’ จะราคาสูง คุณคิดว่าใครได้ประโยชน์ ก็คือ ‘กลุ่มชาวนา’ กล่าวคือ เขาจะมุ่งไปที่นโยบายที่ปกป้องผลประโยชน์ได้

คำถามคือ กองทัพที่พยายามอธิบายตัวเองด้วยอุดมการณ์มาตลอด จริงๆ แล้วมันคือ อุดมการณ์หรือผลประโยชน์กันแน่ พิสูจน์ทางทฤษฎีง่ายมาก คือคุณสามารถออกนโยบาย หรือเคลื่อนไหวในสิ่งที่มันลดทอนผลประโยชน์ของตัวเอง ได้หรือเปล่า” รศ.ดร.วีระยุทธกล่าว และว่า

สมมติในทางเศรษฐศาสตร์ จะมีนโยบายแบบ Trickle Down Economic ที่ช่วยคนรวย โดยอยู่บนพื้นที่ฐานความเชื่อที่ว่า ถ้าช่วยคนรวยจะเอาเงินไปลงทุน แล้วจะดีกับทั้งสังคม คำถามคือคนที่สนับสนุนนโยบายแบบนี้ เป็นคนที่เชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือทำเพื่อผลประโยชน์ วิธีพิสูจน์ง่ายมาก คือคุณได้ผลประโยชน์จากนโยบายนั้นหรือเปล่า ซึ่งบทบาทของกองทัพก็เช่นกัน

‘อุดมการณ์มีผลต่อกองทัพแต่ไหน?’ ก็ต้องดูว่ามีการเคลื่อนไหวไหนที่ลดทอนหรือขัดแย้งกับผลประโยชน์ของตัวเองหรือไม่ ถ้ายอมร่วมทุกข์ร่วมสุข เช่น เมื่อเศรษฐกิจแย่ จีดีพีประเทศลด กองทัพจะยอมลดงบฯมากน้อยแค่ไหน จะเป็นตัวพิสูจน์ว่าเดินด้วยอุดมการณ์จริงไหม ถ้าเศรษฐกิจแย่แต่งบกองทัพเพิ่มขึ้น สุดท้ายมันสะท้อนว่า อุดมการณ์อาจเป็นแค่ lift Service เท่านั้นเอง

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 คือมีโจทย์เรื่อง ‘การเมืองไทย’ ที่มักจะถูกมองว่า ไม่มีความเป็นสถาบันทางการเมือง ทุกอย่างดำรงอยู่เพียงชั่วคราว ไม่มีระบบที่ถาวร ซึ่งระบบการเมืองไทยที่สืบเนื่องมา ส่วนตัวคิดว่า ‘กองทัพ’ เป็นสถาบันที่มีความ institutionalize (ทำให้เป็นสถาบัน) สูงที่สุดในสังคมไทยด้วยซ้ำ แม้จะเปลี่ยนหัว แต่ตัวกลไกต่างๆ ยังดำรงอยู่มาได้ 50-60 ปี

ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สถาบันฯ เป็นโจทย์ที่สำคัญมาก ว่ามันเปลี่ยนแปลงปรับตัวอย่างไร เพราะไม่มีกลไกหรือสถาบันฯ ไหนที่อยู่ได้ยาวๆ หากไม่มีการปรับตัว เพียงแต่เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงนั้นไหม ให้มองว่ามีการเปลี่ยนพันธมิตรไปมากน้อยแค่ไหน หน้าฉากอาจจะดูเหมือนเดิม แต่ความจริงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงพันธมิตร Coordination ไปเรื่อยๆ เพื่อให้กลไกยังดำรงอยู่ได้

อย่างกรณี EEC เมื่อพันธมิตรเริ่มหมดค่า ทำงานไม่เวิร์กเรื่อง EEC โครงการคนละครึ่ง ก็มาพร้อมกับพันธมิตรทางเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ พร้อมไอเดียการทำนโยบายอีกแบบหนึ่ง จะเห็นได้ว่า กองทัพมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนพันธมิตร เพื่ออยู่รอด จึงต้องคอยแงะว่า มันไม่เหมือนเดิมแล้วแปรรูปไปอย่างไร

ทำไมความมั่นคงของรัฐ กับความมั่นคงของมนุษย์ มันผสมปนเปจนดูเป็นเรื่องเดียวกัน นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ทำไมสังคมไทย มองเสมือนเป็นเรื่องเดียวกันเสมอ ถ้าใครที่ยังมีชีวิตส่วนหนึ่งที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกสากล เวลาฟังแถลงการณ์จะเห็นความไม่ปกติ ตะหงิดๆ อยู่เสมอ แต่ทำไมสังคมไทยถึงเชื่อมเรื่องที่ดูจะไม่สัมพันธ์กันเลยอย่าง รัฐ ภัยคุกคาม ไซเบอร์ ความปลอดภัย สงคราม มาเชื่อมเป็นเรื่องเดียวกันในพารารากราฟเดียวได้ เหมาะที่นักศึกษาปริญญาโท และ ป.เอก ที่จะไปแงะกันต่อ เปรียบเทียบทฤษฎีกับประเทศอื่นๆ ได้” รศ.ดร.วีระยุทธระบุ

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า ถ้าทหารนำการเมือง แล้วการเมืองแบบไหนที่จะธำรงรักษา Military Dominance ได้ ตนมองว่ามีโจทย์ 2-3 ข้อ คิดต่อเพื่อหาว่า ‘ทหาร เทคโนแครต และนักการเมือง’ มีอำนาจหรืออะไรร่วมกัน ถึงธำรงสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ ภายใต้ความวุ่นวายสับสนและซับซ้อนนั้น มีอะไรเป็นจุดร่วมกัน

ผมคิดว่าเป็นความเชื่อเรื่อง 1.เสถียรภาพทางการแข่งขัน (Stability First) ซึ่งการที่เราเป็นฐานการลงทุน ก็สอดรับกับสิ่งนี้ ทำไมไทยถึงกังวลเรื่องความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นพิเศษ? เพราะเราเป็นแค่ ‘ฐานการลงทุน’ เงินเฟ้อถึงสำคัญกว่าประเทศอื่นๆ เงินเฟ้อขึ้นมา ค่าเงินผันผวนนิดนึง ก็เริ่มกังวลแล้ว เพราะเราดำรงอยู่ด้วยเศรษฐกิจแบบ ‘ฐานการลงทุน’ ทำให้ไม่สามารถคิดเรื่องการแข่งขันได้เลย เพราะมักจะต้องแลกเปลี่ยนกัน

รัฐบาลเพื่อไทย กับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่คนอาจจะคิดว่าขัดแย้งกันคิดคนแบบ ผมอยากจะชี้ว่า จริงๆ แล้วเขาคิดเหมือนกันแทบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องดอกเบี้ย พอจะเสนอทำเรื่อง ‘เวอร์ชวลแบงก์’ ทำไมถึงคิดเหมือนกันว่าต้องตั้งเงินให้สูงๆ เข้าไว้ 5,000 ล้านบาท เป็นทุดจดทะเบียน สุดท้ายคุณไปดูหน้าคนที่ได้สัมปทาน ก็จะเป็นผู้เล่นรายเดิมที่เป็นลูกผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้วในตลาดอื่น และอยากกระโดดมาคุมตลาดการเงินดิจิทัลอีกทอดหนึ่ง นี่คือวิธีคิดที่เหมือนกัน เพราะเขากังวลเรื่องความผันผวน และ competition (การแข่งขัน) ว่าจะมาเขย่าธนาคารเดิม ก็เลยโปร Stability” รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวและว่า แนวคิดนี้เหมือนกันทั้งทหาร เทคโนแครต และนักการเมือง จึงไม่แปลกที่จะต่อยอดมาสู่ รัฐราชการ

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า อีกข้อที่มีร่วมกันคือ ‘เชื่อในคน เหนือระบบ’ ถ้าเราเป็นสังคมที่ก้าวหน้าจะยึดถือประเด็นเป็นหลัก ไม่ว่าใครพูดก็ควรมีน้ำหนักเท่ากัน แต่สังคมไทยไม่ใช่ จะเป็น โควตที่ขึ้นอยู่กับชื่อคนเสมอ ถ้าคนนี้ชื่อเสียงดูมีน้ำหนักเวลาพูดสังคมก็จะฟัง ไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้วยระบบ แต่เชื่อเรื่องการส่งคนเข้าไปคุม เพื่อไปเป็นแขนขา จัดการต่อได้ สะท้อนว่า สังคมไทยเข้าสู่ภาวะความเป็นสมัยใหม่แล้วหรือยัง ซึ่งเราอาจจะไปไม่ถึงจุดนั้น

ใช้หลักธรรมาภิบาลเพื่อขัดขวางการเลือกตั้ง, องค์กรที่แต่งตั้งจากทหารพูดเรื่องจริยธรรม, กอ.รมน.ทำเรื่อง civilian (พลเรือน) สังคมเราเคยชินกับความย้อนแย้ง ที่ดำรงอยู่ในทุกอณูของสังคม วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์อยู่ร่วมกันได้ เมื่อไม่เคยมีเส้นแบ่งนี้ สภาวะความย้อนแย้งจึงดำรงอยู่เต็มไปหมด ต้องแก้ทั้งระบบ เราไม่สามารถแก้จุดเดียวได้ เป็นหน้าที่ของรัฐเหมือนกัน ถ้าจะปฏิรูป ต้องจัดสรรกำลังคนใหม่

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า 1.หน่วยราชการมักฝันเล็กใน KPI แต่ชอบโชว์ตัวเลขใหญ่ๆ สู่สังคม ดังนั้น เวลาโชว์ตัวเลขจึงมักจะโชว์ตัวเลขใหญ่ๆ เช่น โชว์ตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ แล้วประกาศว่าไหลเวียนหมื่นล้านคน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่าไหร่ เป็นต้น แต่ต้องบอกว่าตัวเลขนี้อยู่ในสมมติฐานมากมาย

2.หน่วยราชการ มีความตั้งใจดีอยากช่วย SME แก้ยาเสพติดทุกหน่วย สะท้อนความเบลอ ว่าแต่ละหน่วยงานควรจะมีภารกิจเฉพาะ ซึ่งมีความตั้งใจดี แต่งบประมาณบานไปเรื่อยๆ เรายอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งคำถามได้อย่างไร

นอกจากนี้ ทุกหน่วยงาน ยังต้องการเพิ่มแขนขา เหมือนอย่าง กอ.รมน. เช่น ตอนนี้เรามี อสม.มากถึง 1,088,000 คน มี อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) อีกเป็นแสนคน ซึ่งยังทับซ้อนกัน 21 เปอร์เซ็นต์ และเรายังมีอาสาสมัครดิจิทัลอีก 33,000 คน แล้วยังตั้งเป้าให้กระจายทั่วประเทศ เห็น กอ.รมน.มีความสามารถในการระดมทุน หน่วยงานพยายามมีอาสาสมัคร เพราะไม่ต้องจ่ายงบประจำ แต่สุดท้ายก็มาของบฯ อยู่ดี และบานไปเรื่อยๆ

ไทยมี 67 ล้านคน เรามีกำลังคนภาครัฐ ราว 3.1 ล้านคน (ที่ได้เงินเดือนจากรัฐ) และยังขยายขึ้นเรื่อยๆ หรือนับเป็นการดูแล 20:1 คน แต่คำถามคือเรารู้สึกอุ่นใจเหมือน 20:1 ไหม เหมือนถ้ามีปัญหาอะไรเราเดินไปหาครูประจำชั้นได้ แต่ทำไมกำลังพลที่ขยาย เรากลับไม่รู้สึกถึงความมั่นคงที่มากขึ้น จะเรียกว่าแทรกซึมได้หรือไม่” รศ.ดร.วีระยุทธชี้

รศ.ดร.วีระยุทธกล่าวต่อว่า เมื่อฝั่งการเมืองคิดว่า ถ้าวางคนไปคนกุมอำนาจได้ และเข้าสู่อำนาจได้ จะใข้แขนขาให้มีประโยชน์ได้ จึงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันกำลังพลของ กอ.รมน. กรอบกำลังมี 49,000 คน กอ.รมน. ซึ่งบอกด้วยว่าใช้กำลังยังไม่เต็ม แต่ใช้แค่ 46,000 คน ซึ่งมันใหญ่กว่ากระทรวง ข้าราชการส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มคล้ายกัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองปมของปัญหาราชการไทยแบบแยกกันได้ ซึ่งมีลักษณะไม่เน้นอิมแพค แต่เน้นเอาต์พุชว่าได้เชื่อมกับคนเท่าไหร่ และยังสืบเนื่องกับวัฒนธรรมไทยเหมือนกัน มันมีเซนส์ของความเป็น เจ้ากระทรวง สืบทอดคนของตัวเองไปเรื่อยๆ

ผมอยากยกตัวอย่าง เยอรมันนี แม้แต่กระทรวงเศรษฐกิจ ยังปรับตามภารกิจและเวลาเสมอ ปรับทุก 5 ปีตามภารกิจ เช่น รีออร์แกไนซ์องค์กร เป็น กระทรวงเศรษฐกิจและแรงงาน แต่พอเปลี่ยนรัฐบาลใหม่โจทย์เป็นเทคโนโลยี เขาก็เปลี่ยนเป็น ‘ กระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยี’ พอเรื่องพลังงานและไคลเมทเชนจ์เข้ามา เขาก็เปลี่ยนเป็นชื่อ ‘กระทรวงเศรฐกิจและไคลเมจแอกชั่น ดังนั้น ถ้าเราจะเปลี่ยน ต้องปรับทัศนคติของหน่วยงานราชการ อย่ามองว่าหน่วยงานจะดำรงถาวรภายใต้ภารกิจเดิม

ต้องยืดหยุ่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง จึงจะทำให้การปฏิรูปในภาพใหญ่ มีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้น เพราะต่อให้ปฏิรูป กอ.รมน.ได้ ก็อาจจะไปมีปัญหาอื่น คนไปกระจุกที่อื่นเช่นกัน ดังนั้นต้องมองภาพใหญ่พร้อมกันจึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้” รศ.ดร.วีระยุทธกล่าว.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่