💰 Stealth Tax: การเก็บภาษี 5,000 ล้านบาท ที่ห่อด้วย "ช่วยคนจน"
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ ออกมาประกาศด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่านี่คือนโยบายที่จะ "สนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน และผู้ที่มีรายได้ปานกลางให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ" โดยจะ "โยกเงินของผู้ที่มีรายได้ดีมาช่วยผู้ที่มีรายได้น้อย"
ฟังดูดีใช่ไหมครับ? เหมือนเรื่อง Robin Hood ที่เรารู้จักกันดี แต่พอเราหยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมาคำนวณ ภาพที่ออกมากลับไม่ใช่ Robin Hood เลย มันคือ Tax Man ที่สวมชุด Robin Hood มายืนหน้าตาเฉย
------
## 🎭 สิ่งที่รัฐบาลบอก vs สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
รัฐบาลบอกว่าคนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปีจะได้รับสิทธิพิเศษ สามารถนำเงินที่ลงทุนในกองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 1.3 เท่า ฟังแล้วน่าตื่นเต้นมากทีเดียว ถ้าคุณลงทุน 100,000 บาท คุณจะได้ลดหย่อนภาษีถึง 130,000 บาท ส่วนคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท จะได้แค่ 0.7 เท่า ซึ่งรัฐบาลอธิบายว่านี่คือการ "โยกเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน"
แต่นี่คือจุดที่เราต้องหยุดแล้วถามคำถาม ถ้านี่คือนโยบายช่วยคนจน ทำไมในท้ายที่สุด ดร.เอกนิติถึงบอกว่า "เมื่อรวมกับอีก 2 มาตรการแล้ว คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาทต่อปี"
รอเดี๋ยวนะครับ ถ้าเป็นนโยบายช่วยคนจน รัฐควรจะเสียรายได้ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมรัฐถึงได้เงินเพิ่ม? เงิน 5,000 ล้านบาทนี้มาจากไหน?
-------
## 🔍 ติดตามรอยเงิน 5,000 ล้านบาท
มาคำนวณกันดีกว่าครับว่าเงิน 5,000 ล้านบาทนี้มาจากกระเป๋าใคร จากข้อมูลที่มีอยู่ ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คนที่นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละ 33,333 บาท
ตัวเลขนี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่าคนที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน เพราะคนที่มีเงินเดือน 30,000-50,000 บาทต่อเดือน หลังจากใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว จะเหลือเงินออมได้แค่ 10,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือปีหนึ่งประมาณ 100,000-200,000 บาท แต่เงินนี้ยังต้องไปซื้อประกันชีวิต ซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เหลือซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้ไม่มากนัก
ลองสมมติว่าใน 300,000 คนที่ใช้สิทธินี้ มีประมาณ 100,000 คนที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ลงทุนเฉลี่ยคนละ 150,000 บาท และอีก 200,000 คนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ลงทุนเฉลี่ยคนละ 400,000 บาท
ในระบบเดิม คนทั้งสองกลุ่มได้ลดหย่อนแบบ 1 ต่อ 1 กลุ่มที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้าน มีเงินลงทุนรวม 15,000 ล้านบาท ลดหย่อนได้เท่ากัน ถ้าเสียภาษีเฉลี่ย 15% รัฐเสียรายได้ 2,250 ล้านบาท ส่วนกลุ่มรายได้เกิน 1.5 ล้าน มีเงินลงทุนรวม 80,000 ล้านบาท ถ้าเสียภาษีเฉลี่ย 25% รัฐเสียรายได้ 20,000 ล้านบาท
แต่ในระบบใหม่ กลุ่มแรกจะได้ลดหย่อน 1.3 เท่า กลายเป็น 19,500 ล้านบาท รัฐเสียรายได้ 2,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 675 ล้านบาท ฟังดูดีใช่ไหม? แต่รอก่อน มาดูอีกกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มที่รายได้เกิน 1.5 ล้าน ส่วนใหญ่จะลงทุนเท่าเดิมคือ 400,000 บาท แต่ตอนนี้ลดหย่อนได้แค่ 0.7 เท่า กลายเป็น 56,000 ล้านบาท รัฐเสียรายได้แค่ 14,000 ล้านบาท ลดลง 6,000 ล้านบาท หมายความว่ารัฐเก็บภาษีจากกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท
เอาล่ะ มาคำนวณผลสุทธิกัน รัฐเสียเงินเพิ่ม 675 ล้านบาทให้กลุ่มรายได้ต่ำ แต่เก็บภาษีเพิ่ม 6,000 ล้านบาทจากกลุ่มรายได้สูง ผลสุทธิคือรัฐได้กำไร 5,325 ล้านบาท ใกล้เคียงกับตัวเลข 5,000 ล้านบาทที่ดร.เอกนิติบอกพอดี
---------
## 🎪 กลไกของ Stealth Tax
นี่แหละครับที่เรียกว่า Stealth Tax หรือการเก็บภาษีแบบแอบแฝง รัฐบาลไม่ได้ออกมาประกาศว่า "เราจะขึ้นภาษีนะครับ" เพราะถ้าประกาศแบบนั้นจะมีคนต่อต้านมากมาย แต่รัฐบาลทำแบบฉลาดกว่า แค่เปลี่ยนกฎการลดหย่อนภาษี จาก 1.0 เท่าเป็น 0.7 เท่าสำหรับคนรายได้สูง
ผลที่ตามมาคือคนที่เคยลงทุนกองทุน 500,000 บาท เคยลดหย่อนได้เต็ม 500,000 บาท ประหยัดภาษี 150,000 บาท ถ้าเสียภาษีในอัตรา 30% ตอนนี้ลดหย่อนได้แค่ 350,000 บาท ประหยัดภาษีได้แค่ 105,000 บาท หมายความว่ารัฐเก็บภาษีจากเขาได้เพิ่มขึ้น 45,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30% จากเดิม
และนี่คือความชาญฉลาดของ Stealth Tax คนเหล่านี้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม พวกเขาลงทุนเท่าเดิม พฤติกรรมเท่าเดิม แต่รัฐเก็บภาษีจากพวกเขาได้เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่มีการประกาศขึ้นภาษี ไม่มีการออกกฎหมายใหม่ แค่เปลี่ยนตัวเลข จาก 1.0 เป็น 0.7
----------
## 💭 Progressive Narrative ที่ปิดบังความจริง
สิ่งที่ทำให้ Stealth Tax นี้ทรงพลังคือการใช้ Progressive Narrative หรือการบอกเล่าเรื่องราวแบบก้าวหน้า รัฐบาลใช้ภาษาที่ฟังแล้วน่าสนับสนุน เช่น "ช่วยคนรายได้ปานกลาง" "โยกเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน" "รองรับสังคมผู้สูงอายุ"
คำพูดเหล่านี้สร้างภาพลักษณ์ของ Robin Hood ที่ปล้นคนรวยช่วยคนจน ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านี่เป็นนโยบายที่ดี ที่เป็นธรรม ที่ควรสนับสนุน ใครจะกล้าออกมาต่อต้านนโยบายที่อ้างว่าช่วยคนจน?
แต่เมื่อเราคำนวณตัวเลข ความจริงที่ปรากฏคือ คนรายได้ปานกลางได้ประโยชน์จริงหรือ? ลองคิดดู คนที่มีเงินเดือน 125,000 บาทต่อเดือน หรือ 1.5 ล้านบาทต่อปี หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเหลือเงินออมได้ประมาณ 50,000-70,000 บาทต่อเดือน หรือปีหนึ่งประมาณ 600,000-840,000 บาท
แต่เงินนี้ต้องไปซื้อประกันชีวิต ต้องไปทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องเก็บไว้ใช้ฉุกเฉิน เหลือซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้แค่ 100,000-200,000 บาท การที่รัฐให้สิทธิ 1.3 เท่าไม่ได้ทำให้เขาซื้อเพิ่ม เพราะเขาไม่มีเงินเพิ่ม นโยบายนี้จึงไม่ได้ช่วยให้เขาออมเงินมากขึ้นจริงๆ แค่ทำให้เขาประหยัดภาษีได้เพิ่มขึ้นนิดหน่อยจากเงินที่เขาออมอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน คนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ต่อปีโดนกระทบหนักมาก พวกเขาเคยใช้สิทธิลดหย่อนอยู่แล้ว บางคนลงทุนเต็มวงเงิน 500,000 บาท ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งเฉยๆ รัฐก็เก็บภาษีจากพวกเขาได้เพิ่มขึ้น 30%
---------
## ⚖️ Cliff Effect: ความเหลื่อมล้ำที่นโยบายสร้างขึ้น
สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นคือปัญหาที่เรียกว่า Cliff Effect หรือผลกระทบจากหน้าผา ลองนึกภาพคนสองคน คนหนึ่งมีรายได้ 1,490,000 บาทต่อปี อีกคนมีรายได้ 1,510,000 บาทต่อปี ต่างกันแค่ 20,000 บาท หรือเดือนละแค่ 1,667 บาท
ถ้าทั้งสองคนลงทุนกองทุนคนละ 500,000 บาท คนแรกจะได้ลดหย่อน 650,000 บาท ประหยัดภาษีได้ 130,000 บาท ถ้าเสียภาษีในอัตรา 20% แต่คนที่สองจะได้ลดหย่อนแค่ 350,000 บาท ประหยัดภาษีได้แค่ 70,000 บาท
ผลต่างระหว่างสองคนที่รายได้ต่างกันแค่ 20,000 บาทต่อปี กลับประหยัดภาษีต่างกันถึง 60,000 บาท นี่คือความไม่เป็นธรรมที่นโยบายสร้างขึ้น คนที่รายได้ใกล้เคียงกันมากๆ กลับได้รับผลประโยชน์ที่ต่างกันอย่างมหาศาล
และนี่ยังสร้างแรงจูงใจที่ผิดพลาด คนที่รายได้ใกล้ 1.5 ล้านบาทอาจพยายามลดรายได้ของตัวเองให้ต่ำกว่า 1.5 ล้าน เช่น เลื่อนการรับโบนัสไปปีหน้า ขอให้บริษัทจ่ายเป็นสวัสดิการแทนเงินเดือน หรือถ่ายโอนรายได้ให้คู่สมรส เพื่อที่จะได้สิทธิ 1.3 เท่า
--------
## 🎯 ใครได้ ใครเสีย ตัวเลขบอกความจริง
เมื่อเราวางตัวเลขทั้งหมดลงบนโต๊ะ ภาพรวมที่ออกมาชัดเจน คนรายได้ปานกลางได้ประโยชน์น้อยมาก รัฐเสียรายได้เพิ่มแค่ 675 ล้านบาท หารด้วย 11 ล้านคนที่รัฐบาลอ้างว่าจะได้ประโยชน์ เฉลี่ยคนละแค่ 61 บาทต่อปี หรือเดือนละ 5 บาท
ในทางกลับกัน คนรายได้สูงโดนเก็บภาษีเพิ่ม 6,000 ล้านบาท หารด้วย 200,000 คน เฉลี่ยคนละ 30,000 บาทต่อปี หรือเดือนละ 2,500 บาท
และตัวเลขที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลได้กำไร 5,325 ล้านบาทต่อปี เงินก้อนนี้จะไปอยู่ที่ไหน? จะไปใช้ทำอะไร? รัฐบาลไม่ได้บอก
นี่คือคำถามสำคัญที่เราทุกคนควรถาม ถ้านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยคนรายได้น้อยให้ออมเงินมากขึ้น ทำไมไม่เอาเงิน 5,000 ล้านบาทที่รัฐได้เพิ่มนี้ไปเพิ่มสิทธิให้คนรายได้น้อยอีก? ทำไมไม่ให้ 1.5 เท่าแทนที่จะเป็น 1.3 เท่า? ทำไมไม่ขยับเพดานจาก 1.5 ล้านเป็น 2.0 ล้าน เพื่อลด Cliff Effect?
คำตอบน่าจะชัดเจนแล้วว่า นโยบายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยคนรายได้ปานกลาง แต่เป็นการเก็บภาษีจากคนรายได้สูงเพิ่มขึ้น โดยใช้ Progressive Narrative เป็นชิลด์ป้องกันการวิจารณ์
-----------
## 🔮 บทเรียนสำหรับเรา
Stealth Tax ครั้งนี้สอนบทเรียนสำคัญหลายอย่าง หนึ่ง อย่าเชื่อ narrative ทันที ต้องติดตามตัวเลข สอง ถามคำถามที่ถูก เมื่อรัฐบาลบอกว่าจะได้เงินเพิ่ม เราต้องถามว่ามาจากไหน สาม เข้าใจว่านโยบายที่ฟังดูดีอาจมีผลกระทบที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
สำหรับคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าคุณจะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 30% จากการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี คุณต้องปรับกลยุทธ์การวางแผนภาษีใหม่ อาจต้องพิจารณาช่องทางลดหย่อนอื่นๆ มากขึ้น
สำหรับคนรายได้ปานกลาง อย่าหลงเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มหาศาล สิทธิ 1.3 เท่าช่วยได้จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณออมเงินมากขึ้น มันแค่ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้นนิดหน่อยจากเงินที่คุณออมอยู่แล้ว
และสำหรับเราทุกคน เราต้องเฝ้าดูว่ารัฐบาลจะเอาเงิน 5,000 ล้านบาทไปใช้อย่างไร ถ้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข ก็ยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าไปอุดหนุนโครงการประชานิยมที่ไม่มีประสิทธิภาพ นั่นคือการใช้เงินของประชาชนอย่างไม่คุ้มค่า
Stealth Tax ไม่ใช่เรื่องดีหรือร้ายในตัวมันเอง มันเป็นเครื่องมือทางนโยบาย แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจมันอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เชื่อตาม narrative ที่รัฐบาลนำเสนอ เพราะเมื่อเราเข้าใจ เราถึงจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Boyles bigmove club
**#SteatlhTax #ภาษี #นโยบายเศรษฐกิจ #RobinHood #ลดหย่อนภาษี #BigmoveClub**
CR
https://www.facebook.com/share/17HZpzuYJh/?mibextid=wwXIfr
สรรพากรจะเก็บภาษีได้เพิ่ม 5,000ลบ.จากนโยบายStealth TAX แบบนี้เรียกว่าช่วยมนุษย์เงินเดือนที่ไม่สามารถหลบหลีกเลี่ยงภาษีได้
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ ออกมาประกาศด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่านี่คือนโยบายที่จะ "สนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน และผู้ที่มีรายได้ปานกลางให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ" โดยจะ "โยกเงินของผู้ที่มีรายได้ดีมาช่วยผู้ที่มีรายได้น้อย"
ฟังดูดีใช่ไหมครับ? เหมือนเรื่อง Robin Hood ที่เรารู้จักกันดี แต่พอเราหยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมาคำนวณ ภาพที่ออกมากลับไม่ใช่ Robin Hood เลย มันคือ Tax Man ที่สวมชุด Robin Hood มายืนหน้าตาเฉย
------
## 🎭 สิ่งที่รัฐบาลบอก vs สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
รัฐบาลบอกว่าคนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปีจะได้รับสิทธิพิเศษ สามารถนำเงินที่ลงทุนในกองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 1.3 เท่า ฟังแล้วน่าตื่นเต้นมากทีเดียว ถ้าคุณลงทุน 100,000 บาท คุณจะได้ลดหย่อนภาษีถึง 130,000 บาท ส่วนคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท จะได้แค่ 0.7 เท่า ซึ่งรัฐบาลอธิบายว่านี่คือการ "โยกเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน"
แต่นี่คือจุดที่เราต้องหยุดแล้วถามคำถาม ถ้านี่คือนโยบายช่วยคนจน ทำไมในท้ายที่สุด ดร.เอกนิติถึงบอกว่า "เมื่อรวมกับอีก 2 มาตรการแล้ว คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาทต่อปี"
รอเดี๋ยวนะครับ ถ้าเป็นนโยบายช่วยคนจน รัฐควรจะเสียรายได้ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมรัฐถึงได้เงินเพิ่ม? เงิน 5,000 ล้านบาทนี้มาจากไหน?
-------
## 🔍 ติดตามรอยเงิน 5,000 ล้านบาท
มาคำนวณกันดีกว่าครับว่าเงิน 5,000 ล้านบาทนี้มาจากกระเป๋าใคร จากข้อมูลที่มีอยู่ ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คนที่นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละ 33,333 บาท
ตัวเลขนี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่าคนที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน เพราะคนที่มีเงินเดือน 30,000-50,000 บาทต่อเดือน หลังจากใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว จะเหลือเงินออมได้แค่ 10,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือปีหนึ่งประมาณ 100,000-200,000 บาท แต่เงินนี้ยังต้องไปซื้อประกันชีวิต ซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เหลือซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้ไม่มากนัก
ลองสมมติว่าใน 300,000 คนที่ใช้สิทธินี้ มีประมาณ 100,000 คนที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ลงทุนเฉลี่ยคนละ 150,000 บาท และอีก 200,000 คนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ลงทุนเฉลี่ยคนละ 400,000 บาท
ในระบบเดิม คนทั้งสองกลุ่มได้ลดหย่อนแบบ 1 ต่อ 1 กลุ่มที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้าน มีเงินลงทุนรวม 15,000 ล้านบาท ลดหย่อนได้เท่ากัน ถ้าเสียภาษีเฉลี่ย 15% รัฐเสียรายได้ 2,250 ล้านบาท ส่วนกลุ่มรายได้เกิน 1.5 ล้าน มีเงินลงทุนรวม 80,000 ล้านบาท ถ้าเสียภาษีเฉลี่ย 25% รัฐเสียรายได้ 20,000 ล้านบาท
แต่ในระบบใหม่ กลุ่มแรกจะได้ลดหย่อน 1.3 เท่า กลายเป็น 19,500 ล้านบาท รัฐเสียรายได้ 2,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 675 ล้านบาท ฟังดูดีใช่ไหม? แต่รอก่อน มาดูอีกกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มที่รายได้เกิน 1.5 ล้าน ส่วนใหญ่จะลงทุนเท่าเดิมคือ 400,000 บาท แต่ตอนนี้ลดหย่อนได้แค่ 0.7 เท่า กลายเป็น 56,000 ล้านบาท รัฐเสียรายได้แค่ 14,000 ล้านบาท ลดลง 6,000 ล้านบาท หมายความว่ารัฐเก็บภาษีจากกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท
เอาล่ะ มาคำนวณผลสุทธิกัน รัฐเสียเงินเพิ่ม 675 ล้านบาทให้กลุ่มรายได้ต่ำ แต่เก็บภาษีเพิ่ม 6,000 ล้านบาทจากกลุ่มรายได้สูง ผลสุทธิคือรัฐได้กำไร 5,325 ล้านบาท ใกล้เคียงกับตัวเลข 5,000 ล้านบาทที่ดร.เอกนิติบอกพอดี
---------
## 🎪 กลไกของ Stealth Tax
นี่แหละครับที่เรียกว่า Stealth Tax หรือการเก็บภาษีแบบแอบแฝง รัฐบาลไม่ได้ออกมาประกาศว่า "เราจะขึ้นภาษีนะครับ" เพราะถ้าประกาศแบบนั้นจะมีคนต่อต้านมากมาย แต่รัฐบาลทำแบบฉลาดกว่า แค่เปลี่ยนกฎการลดหย่อนภาษี จาก 1.0 เท่าเป็น 0.7 เท่าสำหรับคนรายได้สูง
ผลที่ตามมาคือคนที่เคยลงทุนกองทุน 500,000 บาท เคยลดหย่อนได้เต็ม 500,000 บาท ประหยัดภาษี 150,000 บาท ถ้าเสียภาษีในอัตรา 30% ตอนนี้ลดหย่อนได้แค่ 350,000 บาท ประหยัดภาษีได้แค่ 105,000 บาท หมายความว่ารัฐเก็บภาษีจากเขาได้เพิ่มขึ้น 45,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30% จากเดิม
และนี่คือความชาญฉลาดของ Stealth Tax คนเหล่านี้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม พวกเขาลงทุนเท่าเดิม พฤติกรรมเท่าเดิม แต่รัฐเก็บภาษีจากพวกเขาได้เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่มีการประกาศขึ้นภาษี ไม่มีการออกกฎหมายใหม่ แค่เปลี่ยนตัวเลข จาก 1.0 เป็น 0.7
----------
## 💭 Progressive Narrative ที่ปิดบังความจริง
สิ่งที่ทำให้ Stealth Tax นี้ทรงพลังคือการใช้ Progressive Narrative หรือการบอกเล่าเรื่องราวแบบก้าวหน้า รัฐบาลใช้ภาษาที่ฟังแล้วน่าสนับสนุน เช่น "ช่วยคนรายได้ปานกลาง" "โยกเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน" "รองรับสังคมผู้สูงอายุ"
คำพูดเหล่านี้สร้างภาพลักษณ์ของ Robin Hood ที่ปล้นคนรวยช่วยคนจน ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านี่เป็นนโยบายที่ดี ที่เป็นธรรม ที่ควรสนับสนุน ใครจะกล้าออกมาต่อต้านนโยบายที่อ้างว่าช่วยคนจน?
แต่เมื่อเราคำนวณตัวเลข ความจริงที่ปรากฏคือ คนรายได้ปานกลางได้ประโยชน์จริงหรือ? ลองคิดดู คนที่มีเงินเดือน 125,000 บาทต่อเดือน หรือ 1.5 ล้านบาทต่อปี หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเหลือเงินออมได้ประมาณ 50,000-70,000 บาทต่อเดือน หรือปีหนึ่งประมาณ 600,000-840,000 บาท
แต่เงินนี้ต้องไปซื้อประกันชีวิต ต้องไปทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องเก็บไว้ใช้ฉุกเฉิน เหลือซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้แค่ 100,000-200,000 บาท การที่รัฐให้สิทธิ 1.3 เท่าไม่ได้ทำให้เขาซื้อเพิ่ม เพราะเขาไม่มีเงินเพิ่ม นโยบายนี้จึงไม่ได้ช่วยให้เขาออมเงินมากขึ้นจริงๆ แค่ทำให้เขาประหยัดภาษีได้เพิ่มขึ้นนิดหน่อยจากเงินที่เขาออมอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน คนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ต่อปีโดนกระทบหนักมาก พวกเขาเคยใช้สิทธิลดหย่อนอยู่แล้ว บางคนลงทุนเต็มวงเงิน 500,000 บาท ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งเฉยๆ รัฐก็เก็บภาษีจากพวกเขาได้เพิ่มขึ้น 30%
---------
## ⚖️ Cliff Effect: ความเหลื่อมล้ำที่นโยบายสร้างขึ้น
สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นคือปัญหาที่เรียกว่า Cliff Effect หรือผลกระทบจากหน้าผา ลองนึกภาพคนสองคน คนหนึ่งมีรายได้ 1,490,000 บาทต่อปี อีกคนมีรายได้ 1,510,000 บาทต่อปี ต่างกันแค่ 20,000 บาท หรือเดือนละแค่ 1,667 บาท
ถ้าทั้งสองคนลงทุนกองทุนคนละ 500,000 บาท คนแรกจะได้ลดหย่อน 650,000 บาท ประหยัดภาษีได้ 130,000 บาท ถ้าเสียภาษีในอัตรา 20% แต่คนที่สองจะได้ลดหย่อนแค่ 350,000 บาท ประหยัดภาษีได้แค่ 70,000 บาท
ผลต่างระหว่างสองคนที่รายได้ต่างกันแค่ 20,000 บาทต่อปี กลับประหยัดภาษีต่างกันถึง 60,000 บาท นี่คือความไม่เป็นธรรมที่นโยบายสร้างขึ้น คนที่รายได้ใกล้เคียงกันมากๆ กลับได้รับผลประโยชน์ที่ต่างกันอย่างมหาศาล
และนี่ยังสร้างแรงจูงใจที่ผิดพลาด คนที่รายได้ใกล้ 1.5 ล้านบาทอาจพยายามลดรายได้ของตัวเองให้ต่ำกว่า 1.5 ล้าน เช่น เลื่อนการรับโบนัสไปปีหน้า ขอให้บริษัทจ่ายเป็นสวัสดิการแทนเงินเดือน หรือถ่ายโอนรายได้ให้คู่สมรส เพื่อที่จะได้สิทธิ 1.3 เท่า
--------
## 🎯 ใครได้ ใครเสีย ตัวเลขบอกความจริง
เมื่อเราวางตัวเลขทั้งหมดลงบนโต๊ะ ภาพรวมที่ออกมาชัดเจน คนรายได้ปานกลางได้ประโยชน์น้อยมาก รัฐเสียรายได้เพิ่มแค่ 675 ล้านบาท หารด้วย 11 ล้านคนที่รัฐบาลอ้างว่าจะได้ประโยชน์ เฉลี่ยคนละแค่ 61 บาทต่อปี หรือเดือนละ 5 บาท
ในทางกลับกัน คนรายได้สูงโดนเก็บภาษีเพิ่ม 6,000 ล้านบาท หารด้วย 200,000 คน เฉลี่ยคนละ 30,000 บาทต่อปี หรือเดือนละ 2,500 บาท
และตัวเลขที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลได้กำไร 5,325 ล้านบาทต่อปี เงินก้อนนี้จะไปอยู่ที่ไหน? จะไปใช้ทำอะไร? รัฐบาลไม่ได้บอก
นี่คือคำถามสำคัญที่เราทุกคนควรถาม ถ้านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยคนรายได้น้อยให้ออมเงินมากขึ้น ทำไมไม่เอาเงิน 5,000 ล้านบาทที่รัฐได้เพิ่มนี้ไปเพิ่มสิทธิให้คนรายได้น้อยอีก? ทำไมไม่ให้ 1.5 เท่าแทนที่จะเป็น 1.3 เท่า? ทำไมไม่ขยับเพดานจาก 1.5 ล้านเป็น 2.0 ล้าน เพื่อลด Cliff Effect?
คำตอบน่าจะชัดเจนแล้วว่า นโยบายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยคนรายได้ปานกลาง แต่เป็นการเก็บภาษีจากคนรายได้สูงเพิ่มขึ้น โดยใช้ Progressive Narrative เป็นชิลด์ป้องกันการวิจารณ์
-----------
## 🔮 บทเรียนสำหรับเรา
Stealth Tax ครั้งนี้สอนบทเรียนสำคัญหลายอย่าง หนึ่ง อย่าเชื่อ narrative ทันที ต้องติดตามตัวเลข สอง ถามคำถามที่ถูก เมื่อรัฐบาลบอกว่าจะได้เงินเพิ่ม เราต้องถามว่ามาจากไหน สาม เข้าใจว่านโยบายที่ฟังดูดีอาจมีผลกระทบที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
สำหรับคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าคุณจะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 30% จากการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี คุณต้องปรับกลยุทธ์การวางแผนภาษีใหม่ อาจต้องพิจารณาช่องทางลดหย่อนอื่นๆ มากขึ้น
สำหรับคนรายได้ปานกลาง อย่าหลงเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มหาศาล สิทธิ 1.3 เท่าช่วยได้จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณออมเงินมากขึ้น มันแค่ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้นนิดหน่อยจากเงินที่คุณออมอยู่แล้ว
และสำหรับเราทุกคน เราต้องเฝ้าดูว่ารัฐบาลจะเอาเงิน 5,000 ล้านบาทไปใช้อย่างไร ถ้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข ก็ยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าไปอุดหนุนโครงการประชานิยมที่ไม่มีประสิทธิภาพ นั่นคือการใช้เงินของประชาชนอย่างไม่คุ้มค่า
Stealth Tax ไม่ใช่เรื่องดีหรือร้ายในตัวมันเอง มันเป็นเครื่องมือทางนโยบาย แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจมันอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เชื่อตาม narrative ที่รัฐบาลนำเสนอ เพราะเมื่อเราเข้าใจ เราถึงจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Boyles bigmove club
**#SteatlhTax #ภาษี #นโยบายเศรษฐกิจ #RobinHood #ลดหย่อนภาษี #BigmoveClub**
CR https://www.facebook.com/share/17HZpzuYJh/?mibextid=wwXIfr