JJNY : หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์หนืดกู้│‘น้ำปิง’ท่วม‘เชียงใหม่ไนท์บาซาร์’│กม.ชาติพันธุ์วุ่นต่อ│เซเลนสกีซัด ปูตินจ้องทำลาย

หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์หนืดกู้ ฉุดยอดขาย ’มอเตอร์ไซค์’ หดตัวถึงปี’68
https://www.matichon.co.th/economy/news_4811791

 
หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์หนืดกู้ ฉุดยอดขาย ’มอเตอร์ไซค์’ หดตัวถึงปี’68
 
วันที่ 25 กันยายน ฝ่ายวิจัยธุรกิจธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ วิเคราะห์ธุรกิจจําหน่ายรถจักรยานยนต์ในระยะ 1 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มหดตัว โดยเผชิญความท้าทายจากภาวะหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินมีแนวโน้มควบคุมการให้สินเชื่อยานยนต์อย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
 
ขณะเดียวกันผลจากการเปลี่ยนผ่านจาก ปรากฎการณ์เอลณีโญไปสู่ลาณีญาเร็วขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ส่งผลให้เกิดน้ําท่วมในหลายพื้นที่ กระทบต่อรายได้ภาคเกษตรให้เติบโตได้อย่างจํากัด เมื่อรวมเข้ากับปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ภาคการผลิต การส่งออก และการลงทุนเอกชนโดยรวมยังเติบโตต่ํา ส่งผลต่อกําลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวได้ช้า จะส่งแรงกดดันต่อยอดจําหน่ายรถจักรยานยนต์ให้ชะลอตัวสูงในปีนี้ และอาจต่อเนื่องถึงปี 2568นอกจากนี้ การส่งออกรถจักรยานยนต์ ของไทยยังคงมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหนุน บางปัจจัย เช่น นโยบายส่งเสริมและมาตรการอุดหนุนจากรัฐเพื่อจูงใจให้ มีการใช้จักรยานยนต์ EV มากขึ้น การแข่งขันของกลุ่มธุรกิจ Non-bank เพื่อกระตุ้นยอดสินเชื่อรถจักรยานยนต์ก่อนสิ้นสุดปี 2567

โดยสัญญาณที่ต้องจับตานับจากนี้ในปี 2568 ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงตัวเลขสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่หากลดต่ําลงอาจช่วยผ่อนคลายการควบคุมการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินลงได้

ทั้งนี้ประมาณการว่าในปี 2567 ยอดจําหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศจะมีจํานวนรวมทั้งสิ้น 1.69 ล้านคัน ลดลง 8.9%YoY และยอดจําหน่ายฯ ในปี 2568 เติบโตต่ำที่ 2.0%YoY โดยมีจํานวนอยู่ที่ 1.73 ล้านคัน ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับในปี 2565 หรือปี 2566

โดยหากพิจารณาจากยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่ (ป้ายแดง) ในปี 2566 มียอดจดทะเบียนรวมอยู่ที่ 1.88 ล้านคัน ส่วนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า มียอดรวมเท่ากับ 1.05 คัน ลดลง 9.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ พิจารณาตามรายภูมิภาค พบว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีสัดส่วนยอดจดทะเบียนสูงสุด คิดเป็น 25.8% ของยอดจดทะเบียนทั้งหมด ด้วยจํานวนทั้งสิ้น 270,132 คัน ตามด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคกลาง ตามลําดับ

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ชัดเจนว่า ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่ (ป้ายแดง) ทุกภูมิภาคลดลงจาก ช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคตะวันตกมีการปรับตัวลดลงมากที่สุด 18.3%YoY ส่วนภูมิภาคที่ยังคงปรับตัวลดลงของยอดจดทะเบียนต่อเนื่อง จากปีก่อนหน้า คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ
ด้านค่ายรถจักรยานยนต์ยอดนิยม พบว่า ฮอนด้าเป็นผู้ครอง ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด มีสัดส่วนอยู่ที่ 78.1% ของยอดจดทะเบียนใหม่ ทั้งหมดในปี 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า โดยช่วง 7 เดือนแรก ของปี 2567 ฮอนด้ายังคงครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดเช่นเดิม ส่วนค่าย รถจักรยานยนต์อื่น ๆ มีสัดส่วนลดเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อน

สําหรับตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันยังคงได้รับการ ส่งเสริมจากรัฐบาลเพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ยานยนต์ EV ด้วยการเข้าไปสนับสนุนผ่านมาตรการภาษีและการให้เงินอุดหนุน พบว่ามียอด จดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ (ป้ายแดง) ในช่วง 7 เดือนแรก ปี 2567 อยู่ที่ 16,018 คัน เติบโตถึง 38.7%YoY จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทําให้ปัจจุบันสัดส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 1.5% ของยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่ทั้งหมด



‘น้ำปิง’ ทะลักเข้าท่วม ‘เชียงใหม่ไนท์บาซาร์’ ครบ 7 โซนเหมือนปี 54 กับ 65 แล้ว
https://www.dailynews.co.th/news/3905632/
 
ทวีความวิกฤต! แม่น้ำปิง ไหลทะลักเข้าพื้นที่เศรษฐกิจเชียงใหม่ "ตลาดไนท์บาซาร์" ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร คาดกระทบประชาชนกว่า 2 พันครัวเรือน

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วม จ.เชียงใหม่ ขณะนี้ยังวิกฤต มวลน้ำก้อนใหม่จาก อ.แม่แตง ไหลมาถึงเขต อ.เมืองเชียงใหม่ ในช่วงค่ำวานนี้ มวลน้ำในแม่น้ำปิงไหลทะลักล้นแนวพนังกั้นน้ำ ด้านหลังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคบ้านเด่น เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ร้านค้าริมถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตั้งแต่สี่แยกหนองหอยไปจนถึงเชิงสะพานนวรัฐอย่างรวดเร็ว รถขนาดเล็กไม่สามารถผ่านได้

โดยจุดวัดระดับ น้ำปิง P.1 สะพานนวรัฐ อ.เมืองเชียงใหม่ อยู่ที่ 4.90 เมตร ประกอบกับมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงและน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่เศรษฐกิจของ จ.เชียงใหม่ ยังคงน่าเป็นห่วง

นอกจากนี้มวลน้ำยังทะลักเข้าพื้นที่ตลาดสันป่าข่อย ย่านเจริญประเทศ รวมถึงบ้านเรือนที่อยู่อาศัย และพื้นที่เศรษฐกิจ ครบทั้ง 7 โซน ที่เคยเกิดน้ำท่วมในปี 2554 และ 2565 คาดว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 ครอบครัว โดยเฉพาะที่ย่านไนท์บาซ่า ตลาดกลางคืน ที่ตั้งอยู่ในย่านใจเมืองเชียงใหม่บนถนนช้างคลาน ทั้งสองฝั่งข้างทางมีร้านค้า ร้านขายของ บ้านเรือนประชาชน โรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ยาวตลอดระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณด้านหลังวัดอุปคุตยาว ไปถึงวัดศรีดอนชัย ระดับน้ำท่วมสูงตั้งแต่ 30 เซนติเมตรไปจนสูงกว่า 1 เมตร พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่กำลังเริ่มออกมาตั้งร้านค้าในช่วงหัวค่ำต่างพากันเก็บสินค้ากลับบ้าน ร้านค้าสองข้างทางต่างไม่เปิดขาย

ขณะที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น อัปเดตสถานการณ์น้ำท่วมในตัวเมือง ระบุว่า “น้ำได้ไหลเข้าท่วม โรงพยาบาลลานนา3 (ตึกใหม่) ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ แล้ว มวลน้ำมาจากคลองแม่ข่า ตอนนี้น้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ ชุมชนริมคลองแม่ข่า เตรียมรับน้ำที่ไหลผ่านเมืองครับ
 
ขอบคุณภาพเพจ วิทยุจราจร จราจรเพื่อชุมชนเชียงใหม่ / เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น

https://www.facebook.com/unseencnx/posts/pfbid02Y2LhyH2Qvozkbxdsm5fEZWDwHhMncgMM6jnE8zjr2NTa12qLWHHahbkFigkPrHhTl



กม.ชาติพันธุ์วุ่นต่อ มติสภาโหวตให้ถอน หลังรบ.โวยเจอแก้ยับ ครูมานิตย์-วิโรจน์โต้กันนัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4811422

‘ครูมานิตย์-วิโรจน์‘ โต้นัวทำคอนเทนต์ กม.ชาติพันธุ์ หลัง เสียงข้างมาก ไม่พอใจจี้ถอนร่างกลับไปทบทวนใหม่ เหตุไม่ใช้เนื้อหา ครม.

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุ พ.ศ… ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยเป็นการพิจารณาวาระ 2 โดยที่ประชุมใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จนต้องพักการประชุม ทำให้กว่าจะผ่านการพิจารณามาตรา 3 ว่าด้วยคำนิยามไปได้ ซึ่งที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมาก แต่เรื่องชาติพันธุ์ กมธ.ได้ลงมติเห็นด้วยกับเสียงข้างน้อย จนทำให้ที่ประชุมต้องหยุดพักการประชุม เพื่อหารือถึงประเด็นนี้ว่า จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร จนได้ข้อสรุปว่า ให้ดำเนินการตามเสียงข้างน้อย
 
ส่วนการพิจารณา ในมาตรา 4 ว่าด้วยการให้รัฐมนตรีรักษาการตาม พ.ร.บ. ซึ่งกมธ.เสียงข้างมาก ได้ตัดอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออก เหลือไว้เพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รักษาการตาม พ.ร.บ. และตัดถ้อยคำที่ระบุว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของตนเอง มีการท้วงติงจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) และส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่มองว่า การแก้ไขกฎหมายที่ผิดไปจากฉบับของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำให้มีปัญหาในการปฏิบัติ โดยเฉพาะการใช้งบประมาณและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เหลือเพียงกระทรวงเดียว จึงเสนอให้ถอนเนื้อหาออกไป เพื่อทบทวนให้มีความรอบคอบ และรัดกุม และให้กลับไปใช้ร่างเดิมที่รับมาตั้งแต่แรกคือของครม. ทำให้ น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรค พท. แจ้งต่อที่ประชุมว่า ขอถอนเนื้อหา
 
ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายคัดค้านและเสนอญัตติให้สภาฯ พิจารณาเดินหน้าในวาระ 2 ต่อ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่เสนอร่างกฎหมายโดยภาคประชาชน พรรคการเมือง และรัฐบาล ทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียด โดย นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรค พท. อภิปรายว่า ในที่ประชุมวิปรัฐบาลก็ยังสับสนกันอยู่ แต่พวกเราก็เห็นความตั้งใจในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ แต่ระหว่างผู้ชี้แจงกับพวกเราก็ยังคุยกันไม่เข้าใจ แต่คิดว่า น่าจะแก้ปัญหาได้เมื่อเข้าสู่สภาฯ เพราะเราไม่อยากเห็นฝ่ายรัฐบาลรังแก ที่พูดคำสองคำก็โยนความผิดมาให้พวกตนว่า มีเจตนาร้าย ตนนั่งดูด้วยความอดทน พยายามสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่อยากให้สังคมเห็นว่า รังแก เพราะไม่มีผู้แทนคนไหนทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน หากเป็นผลประโยชน์กับประชาชน ตนไม่เข้าใจที่โหวตก็แอบดูว่า เขาโหวตอะไรกัน ก็โหวตตามเขา ทั้งที่นี่เป็นกฎหมายฉบับแรก และตนเห็นใจพรรค ปชน. และภาคประชาชนที่เสนอร่างกฎหมายนี้มา ซึ่งเป็นทั้งของรัฐบาล พรรค ปชน. และภาคประชาชน
 
ผมพูดแบบแฟร์ๆ ฉะนั้น อย่าทำลายชนกลุ่มที่เขามีเจตนา ขอให้ถอนไปก่อนแล้วมาเจรจากัน สภาฯ ไม่ล่มหรอกครับ เพราะ 4 ปีนี้เขาไม่ปฏิวัติ อย่างไรก็อยู่ครบ หากเป็นนิมิตรหมายที่ดีก็ไม่เป็นปัญหา อย่าเอาแพ้ชนะกันเลย ขอให้ถอนออกไปก่อน แล้วไม่กี่สัปดาห์ก็นำเข้ามาอีก ผมในนามที่อยู่ในพรรครัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็พร้อมจะช่วยเข็น ทุกคนมีเหตุผล อย่าเอาชนะคะคาน ไปทำคอนเทนต์กันเถอะ ขอให้เอาประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก ขอให้ถอนออกไปก่อน หากดื้อดึงกันเลย เพราะหากไม่ถอนก็จะเดินกันไม่ได้และจะมีปัญหากันเรื่อยๆ” นายครูมานิตย์ กล่าว
 
ทำให้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชน. ลุกใช้สิทธิพาดพิงสวนทันทีว่า เข้าใจนายครูมานิตย์ดี ปกติก็พูดคุยกันดี แต่ที่ท่านบอกว่าทำคอนเทนต์ ตนคิดว่าไม่ใช่ ซึ่งตนติดตามการประชุมตลอด แต่การที่ครูมานิตย์พูดเหมือนเป็นการกล่าวหาประธาน กมธ. เพราะเห็นว่า กมธ.ก็ชี้แจงครบถ้วนดี ดังนั้น ที่ประชุมไม่จำเป็นต้องถอนออกไป ตนไม่รู้ว่า จะถอนเพื่อประสงค์ของใครกันแน่ ซึ่งตนรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ยุติธรรมที่สุด หากมีความเห็นไม่ตรงกันก็ใช้สภาฯ ลงมติ แต่อย่ามาสร้อย ทำคอนท้งคอนเทนต์ หรือปรามาสประธาน กมธ. อย่างนี้ รัฐประหารไม่มีแน่ แต่ยุบสภาฯ มีแน่นอน

ทำให้ นายครูมานิตย์ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนไม่อยากทะเลาะกับนายวิโรจน์ และตนมีเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาร้าย ตนไม่ได้ว่าประธาน กมธ.ไม่รู้เรื่อง แต่คุยกันไม่เข้าใจ แต่อาจจะใช้คำผิด เพราะเป็นครูบ้านนอก ไม่ใช่เด็กกรุงเทพฯ และหากเป็นเรื่องที่ตนพูดผิดว่า เขาไปทำคอนเทนต์ ก็ขอถอนออก

จากนั้น ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนน 255 เสียง ให้ถอนร่างออกไป ไม่เห็นด้วย 137 เสียง ทำให้ กมธ.ต้องถอนร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ออกไป ซึ่งถือว่า เป็นกฎหมายฉบับที่ 3 ที่กมธ.ต้องถอนออกไปทบทวนใหม่ โดยก่อนหน้ามี 2 ร่างคือร่างพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) หรือกฎหมายห้ามตีเด็ก และร่างพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จากนั้น ประธานได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 18.02 น.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่