เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1945 ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
เซตะและเซ็ตสึโกะ สองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเมืองโกเบ ต้องประสบกับภัยสงครามครั้งนี้ไม่ต่างกัน
บ้านของทั้งสองถูกระเบิดถล่ม ผู้เป็นแม่ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เซตะต้องพาน้องสาวไปอาศัยอยู่กับป้า
เฝ้ารอคอยการติดต่อกลับมาของพ่อที่เป็นนายทหารเรือระดับสูงของจักรวรรดิที่ประจำอยู่ในเรือลาดตระเวณ
สุสานหิ่งห้อย (火垂るの墓 ในชื่อภาษาอังกฤษว่า Grave of the Fireflies) ภาพยนตร์แอนิเมชันแนวโศกนาฏกรรมสงคราม
อ้างอิงจากงานเขียนเรื่องสั้นในชื่อเดียวกันของอากิยูกิ โนซากะ ในปี 1967
เขียนบทและกำกับโดยอิซาโอะ ทากาฮาตะ 1 ในงานสร้างของสตูดิโอจิบลิ
ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในภาพยนตร์สงครามที่สะเทือนใจและยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องนึงเท่าที่เคยมีมา
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นโดนโจมตีอย่างหนัก จากกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร
ส่งผลให้สองพี่น้องเซตะและเซ็ตสึโกะ ได้รับผลกระทบจากสงคราม ทั้งสองต้องพยายามเอาชีวิตอยู่รอดให้ได้
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหากท่านใดคิดที่จะชมต้องเตรียมตัวเสียน้ำตากันได้เลย
เพราะความสะเทือนใจมันจัดเต็มตลอดระยะเวลา 89 นาทีของหนังที่นำเสนอ
แค่เปิดเรื่องมา ก็ถือว่าเจ๋งแล้วกับหนังเมื่อ 36 ปีที่ผ่านมา เพราะเค้าเลือกเอาจุดจบมาเป็นจุดเริ่มต้น...
แอนิเมชั่นเรื่องนี้โด่งดัง และเป็นที่ยอมรับในบ้านเราว่าขอแค่รอบเดียวพอ ไม่อยากดูอีกแล้ว พาลเป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์ดิ่ง....
ไม่ก็เหมือนกับโดนหลอกเห็นว่าเป็นการ์ตูนของจิบลิ ดูสักหน่อย แค่เปิดเรื่องมาก็เห้ยแล้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย..
รวมไปถึงยิ่งเวลาผ่านมาได้มีการวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเซตะ ตัวเอกของเรื่องพี่ชายของเซ็ตสึโกะ
ว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวน่าเศร้าที่ตามมาหลังจากนั้น เอาจริงๆ ตัวละครมันมีเหตุของการกระทำอยู่ ดังนี้...
ด้วยความที่เซตะเป็นลูกนายทหารเรือ (ยศสูงด้วย) ดังนั้นเขาจึงมีความภาคภูมิใจและยึดมั่น
ในเกียรติของความเป็นทหารกองทัพจักรวรรดิเต็มเปี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มาจากการที่เขาได้รับอิทธิพลเต็มๆ
จากผู้เป็นพ่ออย่างไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด...และเมื่อเขายึดพ่อเป็นแบบอย่าง ลักษณะนิสัยของเซตะจึงเป็นอย่างที่เราเห็น
เขาไม่ยอมแพ้ ไม่อ่อนแอให้ใครเห็น (จะมีก็ตอนที่ไปขโมยผักของชาวบ้านนี่ล่ะ)
ความเด็ดเดี่ยวที่มีทั้งหมดนี้เป็นจุดดีในตัวของเด็กชาย ซึ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิ่งมีค่าในชีวิตที่เหลือเพียงสิ่งเดียว
นั่นก็คือน้องสาวของเขาให้อยู่รอดต่อไปให้ได้
ทว่าจุดแข็งของเซตะกลับกลายเป็นจุดอ่อน ความทระนงตนในเกียรติและศักดิ์ศรีเกินไป
เชื่อมั่นในตัวเองว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ในยามที่สถานการณ์ยากลำบากถึงขีดสุด
ประกอบกับความที่ตัวเองกำลังก้าวข้ามผ่านจากช่วงวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น (14 ปี) ทำให้ความคิดและการตัดสินใจต่างๆนั้นไม่ดีพอ
ความหยิ่งในเกียรติกลายเป็นความดื้อรั้น.. และนั่นทำให้อ้อมกอดที่เขามีต่อเซ็ตสึโกะ จึงกลับกลายเป็นการกอดรัด
และผลักให้น้องสาวคนเดียวของเขา ต้องตกลงไปสู่ก้นบึ้งของหุบเหวลึก
โดยที่เซตะไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กำลังเลือกทางเดินที่ผิดพลาดที่สุดลงไปแล้ว...
มาที่อีกตัวละครอีกคนที่ถูกพูดถึงมากไม่แพ้กัน คงไม่พ้นคนเป็นป้าของเซตะและเซ็ตสึโกะ
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าในภาวะสงครามนั้นเป็นช่วงข้าวยากหมากแพง
การที่คนคนนึงต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวให้อยู่รอดมีข้าวกินในแต่ละมื้อถือเป็นเรื่องยากพอตัวอยู่แล้ว
และนี่ต้องมาดูแลเด็กเพิ่มอีก 2 คนด้วยกัน .. ดูดีดีคือป้าเขาเต็มใจนะครับ เราจะเห็นความใจดีของป้าในช่วงแรกๆต่อหลาน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเราจะได้เห็นหลายฉากที่เริ่มป้าพูดจาตำหนิใส่หลาน ประมาณว่าไม่ยอมทำอะไรบ้างเลย เหมือนอยู่ไปวันๆ
(ซึ่งเซตะเคยบอกไปแล้วช่วงแรกที่มาอยู่ที่นี่เรื่องพยายามหางาน ส่วนโรงเรียนไปไม่ได้เพราะโดนไฟไหม้หมด)
เซตะในฐานะผู้อาศัยจึงเหมือนคนที่เก็บกดจากคำพูดต่างๆตลอดเวลา ที่จะตัดสินใจเด็ดขาดเลือกทางของตัวเองในที่สุด
เอาจริงๆ ป้าเค้าก็รักและเป็นห่วงหลานทั้งสองนะครับ เพียงแค่อย่างที่ผมบอกไว้ ว่าในช่วงสงครามทุกอย่างเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น
ความเครียดก็ย่อมต้องมีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา จะพูดต่อว่าหลานในกรณีนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่
ออกแนวเหมือนผู้ใหญ่ที่ดุหลานด้วยความเป็นห่วงและอยากจะสั่งสอนมากกว่า ไม่ใช่ไม่แคร์แต่อย่างใด
กระนั้นเซตะก็ไม่เข้าใจ (ความที่ยังเป็นเด็ก คาบเกี่ยวกับความรั้นของวัยรุ่น) และมีอคติเป็นที่เรียบร้อย..
ผมว่าในงานของสตูดิโอจิบลิ สุสานหิ่งห้อยถือเป็น 1 ในงานที่ดูง่ายไม่ต้องมีสัญญะ นามธรรม หรือต้องตีความอะไรให้ซับซ้อน
โดยเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจน แต่ในความธรรมดานี่ล่ะ กลับเต็มไปด้วยความหดหู่ขั้นสุด
ความโหดร้ายของสงครามที่ทำให้คนดูอย่างเราต้องสะเทือนใจ บาดลึก และดำดิ่งไปกับความเศร้ายากเกินบรรยาย...
ซีนที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นในตอนท้ายเรื่องหลังสงครามสงบลง
เราจะเห็นฉากที่มีกลุ่มสาวๆ เข้าไปพักผ่อนในบ้านหลังใหญ่ริมทะเลสาบในวันที่อากาศดีของฤดูร้อนที่สดใส
สาวๆเหล่านั้นเปิดแผ่นเสียงบรรเลงเพลงที่ชื่อว่า Home Sweet Home
ขับร้องโดยนักร้องสาวเสียงโซปราโนชาวอิตาเลี่ยนนาม coloratura Amelita Galli-Curci บันทึกเสียงไว้ในปี 1917
ซึ่งในจังหวะที่เพลงนี้เล่นขึ้น ภาพก็ตัดสลับมาที่บ้านหลังน้อยของที่สองพี่น้องเคยอาศัย
ภาพในความทรงจำของเซ็ตซึโกะที่วิ่งเล่นไปมา สิ่งต่างๆที่เธอเคยทำในช่วงเวลานั้นถูกถ่ายทอดประกอบเพลง...
ทำนบน้ำตาพังทลาย ผมร้องไห้หนักที่สุดในฉากนี้จริงๆ มันคือการนำเสนอถึงความขัดแย้งกันรุนแรงที่สุดแล้วของหนังเรื่องนี้
ความสุขความเศร้า.. ความมั่งมีความจนยาก.. กลุ่มหญิงสาวในวันอากาศแจ่มใสได้พักผ่อนสนุกสนาน
แต่ในเช้าของวันที่อากาศแสนดี..เวลาเดียวกันนั้นเองเซตะกำลังที่จะ......
ใครที่ยังไม่เคยชม หาโอกาสดูเถอะครับ ไม่ต้องไปสนใจเลยว่ามันจะเศร้าแค่ไหน
หนังแค่อยากนำเสนอให้เราได้เห็นถึงความโหดร้ายของการเข่นฆ่ากันเองของมนุษยชาติที่ต่างฝ่ายต่างอ้างความถูกต้อง
โดยที่ไม่สนเลยว่าผลกระทบมันจะเป็นเช่นไร ต้องมีผู้บริสุทธิ์มากแค่ไหนที่ต้องรับผลแห่งการกระทำนี้บ้าง
เช่นเดียวกันใครที่ดูแล้วผมก็อยากให้ดูอีกนะครับ บางอย่างเราจะเข้าใจเมื่อเวลาและวัยของเราเติบโต
ผ่านโลกและประสบการณ์ต่างๆมากขึ้น สารของหนังที่สื่อถึงเราจะครบถ้วนและสมบูรณ์
เปรียบดั่งหิ่งห้อยที่เติบโตเปล่งแสงสุกสกาวเพียงแค่ชั่วครู่และมอดดับเมื่อถึงเช้าวันพรุ่ง
และนี่คือเรื่องราวชีวิตของพี่น้องคู่หนึ่งที่เกิดขึ้นและดับลงพร้อมสงคราม
สงครามที่ไม่เคยให้อะไรกับชีวิตมนุษย์..นอกจากความสูญเสียและคราบน้ำตา...
ตอนนี้ผมมีเพจหนังล่ะน๊าาา เข้าไปตามกันได้นะครับ
ชื่อว่าาาาาาาาาา เพราะหนังมันฝังใจ
https://www.facebook.com/profile.php?id=61565624000043
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== สุสานหิ่งห้อย (1988) โศกนาฏกรรมแห่งสงคราม.. บนความไร้เดียงสา.. ==
เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1945 ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
เซตะและเซ็ตสึโกะ สองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเมืองโกเบ ต้องประสบกับภัยสงครามครั้งนี้ไม่ต่างกัน
บ้านของทั้งสองถูกระเบิดถล่ม ผู้เป็นแม่ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เซตะต้องพาน้องสาวไปอาศัยอยู่กับป้า
เฝ้ารอคอยการติดต่อกลับมาของพ่อที่เป็นนายทหารเรือระดับสูงของจักรวรรดิที่ประจำอยู่ในเรือลาดตระเวณ
สุสานหิ่งห้อย (火垂るの墓 ในชื่อภาษาอังกฤษว่า Grave of the Fireflies) ภาพยนตร์แอนิเมชันแนวโศกนาฏกรรมสงคราม
อ้างอิงจากงานเขียนเรื่องสั้นในชื่อเดียวกันของอากิยูกิ โนซากะ ในปี 1967
เขียนบทและกำกับโดยอิซาโอะ ทากาฮาตะ 1 ในงานสร้างของสตูดิโอจิบลิ
ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในภาพยนตร์สงครามที่สะเทือนใจและยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องนึงเท่าที่เคยมีมา
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นโดนโจมตีอย่างหนัก จากกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร
ส่งผลให้สองพี่น้องเซตะและเซ็ตสึโกะ ได้รับผลกระทบจากสงคราม ทั้งสองต้องพยายามเอาชีวิตอยู่รอดให้ได้
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหากท่านใดคิดที่จะชมต้องเตรียมตัวเสียน้ำตากันได้เลย
เพราะความสะเทือนใจมันจัดเต็มตลอดระยะเวลา 89 นาทีของหนังที่นำเสนอ
แค่เปิดเรื่องมา ก็ถือว่าเจ๋งแล้วกับหนังเมื่อ 36 ปีที่ผ่านมา เพราะเค้าเลือกเอาจุดจบมาเป็นจุดเริ่มต้น...
แอนิเมชั่นเรื่องนี้โด่งดัง และเป็นที่ยอมรับในบ้านเราว่าขอแค่รอบเดียวพอ ไม่อยากดูอีกแล้ว พาลเป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์ดิ่ง....
ไม่ก็เหมือนกับโดนหลอกเห็นว่าเป็นการ์ตูนของจิบลิ ดูสักหน่อย แค่เปิดเรื่องมาก็เห้ยแล้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย..
รวมไปถึงยิ่งเวลาผ่านมาได้มีการวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเซตะ ตัวเอกของเรื่องพี่ชายของเซ็ตสึโกะ
ว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวน่าเศร้าที่ตามมาหลังจากนั้น เอาจริงๆ ตัวละครมันมีเหตุของการกระทำอยู่ ดังนี้...
ด้วยความที่เซตะเป็นลูกนายทหารเรือ (ยศสูงด้วย) ดังนั้นเขาจึงมีความภาคภูมิใจและยึดมั่น
ในเกียรติของความเป็นทหารกองทัพจักรวรรดิเต็มเปี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มาจากการที่เขาได้รับอิทธิพลเต็มๆ
จากผู้เป็นพ่ออย่างไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด...และเมื่อเขายึดพ่อเป็นแบบอย่าง ลักษณะนิสัยของเซตะจึงเป็นอย่างที่เราเห็น
เขาไม่ยอมแพ้ ไม่อ่อนแอให้ใครเห็น (จะมีก็ตอนที่ไปขโมยผักของชาวบ้านนี่ล่ะ)
ความเด็ดเดี่ยวที่มีทั้งหมดนี้เป็นจุดดีในตัวของเด็กชาย ซึ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิ่งมีค่าในชีวิตที่เหลือเพียงสิ่งเดียว
นั่นก็คือน้องสาวของเขาให้อยู่รอดต่อไปให้ได้
ทว่าจุดแข็งของเซตะกลับกลายเป็นจุดอ่อน ความทระนงตนในเกียรติและศักดิ์ศรีเกินไป
เชื่อมั่นในตัวเองว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ในยามที่สถานการณ์ยากลำบากถึงขีดสุด
ประกอบกับความที่ตัวเองกำลังก้าวข้ามผ่านจากช่วงวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น (14 ปี) ทำให้ความคิดและการตัดสินใจต่างๆนั้นไม่ดีพอ
ความหยิ่งในเกียรติกลายเป็นความดื้อรั้น.. และนั่นทำให้อ้อมกอดที่เขามีต่อเซ็ตสึโกะ จึงกลับกลายเป็นการกอดรัด
และผลักให้น้องสาวคนเดียวของเขา ต้องตกลงไปสู่ก้นบึ้งของหุบเหวลึก
โดยที่เซตะไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กำลังเลือกทางเดินที่ผิดพลาดที่สุดลงไปแล้ว...
มาที่อีกตัวละครอีกคนที่ถูกพูดถึงมากไม่แพ้กัน คงไม่พ้นคนเป็นป้าของเซตะและเซ็ตสึโกะ
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าในภาวะสงครามนั้นเป็นช่วงข้าวยากหมากแพง
การที่คนคนนึงต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวให้อยู่รอดมีข้าวกินในแต่ละมื้อถือเป็นเรื่องยากพอตัวอยู่แล้ว
และนี่ต้องมาดูแลเด็กเพิ่มอีก 2 คนด้วยกัน .. ดูดีดีคือป้าเขาเต็มใจนะครับ เราจะเห็นความใจดีของป้าในช่วงแรกๆต่อหลาน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเราจะได้เห็นหลายฉากที่เริ่มป้าพูดจาตำหนิใส่หลาน ประมาณว่าไม่ยอมทำอะไรบ้างเลย เหมือนอยู่ไปวันๆ
(ซึ่งเซตะเคยบอกไปแล้วช่วงแรกที่มาอยู่ที่นี่เรื่องพยายามหางาน ส่วนโรงเรียนไปไม่ได้เพราะโดนไฟไหม้หมด)
เซตะในฐานะผู้อาศัยจึงเหมือนคนที่เก็บกดจากคำพูดต่างๆตลอดเวลา ที่จะตัดสินใจเด็ดขาดเลือกทางของตัวเองในที่สุด
เอาจริงๆ ป้าเค้าก็รักและเป็นห่วงหลานทั้งสองนะครับ เพียงแค่อย่างที่ผมบอกไว้ ว่าในช่วงสงครามทุกอย่างเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น
ความเครียดก็ย่อมต้องมีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา จะพูดต่อว่าหลานในกรณีนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่
ออกแนวเหมือนผู้ใหญ่ที่ดุหลานด้วยความเป็นห่วงและอยากจะสั่งสอนมากกว่า ไม่ใช่ไม่แคร์แต่อย่างใด
กระนั้นเซตะก็ไม่เข้าใจ (ความที่ยังเป็นเด็ก คาบเกี่ยวกับความรั้นของวัยรุ่น) และมีอคติเป็นที่เรียบร้อย..
ผมว่าในงานของสตูดิโอจิบลิ สุสานหิ่งห้อยถือเป็น 1 ในงานที่ดูง่ายไม่ต้องมีสัญญะ นามธรรม หรือต้องตีความอะไรให้ซับซ้อน
โดยเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจน แต่ในความธรรมดานี่ล่ะ กลับเต็มไปด้วยความหดหู่ขั้นสุด
ความโหดร้ายของสงครามที่ทำให้คนดูอย่างเราต้องสะเทือนใจ บาดลึก และดำดิ่งไปกับความเศร้ายากเกินบรรยาย...
ซีนที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นในตอนท้ายเรื่องหลังสงครามสงบลง
เราจะเห็นฉากที่มีกลุ่มสาวๆ เข้าไปพักผ่อนในบ้านหลังใหญ่ริมทะเลสาบในวันที่อากาศดีของฤดูร้อนที่สดใส
สาวๆเหล่านั้นเปิดแผ่นเสียงบรรเลงเพลงที่ชื่อว่า Home Sweet Home
ขับร้องโดยนักร้องสาวเสียงโซปราโนชาวอิตาเลี่ยนนาม coloratura Amelita Galli-Curci บันทึกเสียงไว้ในปี 1917
ซึ่งในจังหวะที่เพลงนี้เล่นขึ้น ภาพก็ตัดสลับมาที่บ้านหลังน้อยของที่สองพี่น้องเคยอาศัย
ภาพในความทรงจำของเซ็ตซึโกะที่วิ่งเล่นไปมา สิ่งต่างๆที่เธอเคยทำในช่วงเวลานั้นถูกถ่ายทอดประกอบเพลง...
ทำนบน้ำตาพังทลาย ผมร้องไห้หนักที่สุดในฉากนี้จริงๆ มันคือการนำเสนอถึงความขัดแย้งกันรุนแรงที่สุดแล้วของหนังเรื่องนี้
ความสุขความเศร้า.. ความมั่งมีความจนยาก.. กลุ่มหญิงสาวในวันอากาศแจ่มใสได้พักผ่อนสนุกสนาน
แต่ในเช้าของวันที่อากาศแสนดี..เวลาเดียวกันนั้นเองเซตะกำลังที่จะ......
ใครที่ยังไม่เคยชม หาโอกาสดูเถอะครับ ไม่ต้องไปสนใจเลยว่ามันจะเศร้าแค่ไหน
หนังแค่อยากนำเสนอให้เราได้เห็นถึงความโหดร้ายของการเข่นฆ่ากันเองของมนุษยชาติที่ต่างฝ่ายต่างอ้างความถูกต้อง
โดยที่ไม่สนเลยว่าผลกระทบมันจะเป็นเช่นไร ต้องมีผู้บริสุทธิ์มากแค่ไหนที่ต้องรับผลแห่งการกระทำนี้บ้าง
เช่นเดียวกันใครที่ดูแล้วผมก็อยากให้ดูอีกนะครับ บางอย่างเราจะเข้าใจเมื่อเวลาและวัยของเราเติบโต
ผ่านโลกและประสบการณ์ต่างๆมากขึ้น สารของหนังที่สื่อถึงเราจะครบถ้วนและสมบูรณ์
เปรียบดั่งหิ่งห้อยที่เติบโตเปล่งแสงสุกสกาวเพียงแค่ชั่วครู่และมอดดับเมื่อถึงเช้าวันพรุ่ง
และนี่คือเรื่องราวชีวิตของพี่น้องคู่หนึ่งที่เกิดขึ้นและดับลงพร้อมสงคราม
สงครามที่ไม่เคยให้อะไรกับชีวิตมนุษย์..นอกจากความสูญเสียและคราบน้ำตา...
ตอนนี้ผมมีเพจหนังล่ะน๊าาา เข้าไปตามกันได้นะครับ
ชื่อว่าาาาาาาาาา เพราะหนังมันฝังใจ
https://www.facebook.com/profile.php?id=61565624000043
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===