สวัสดีครับ
ท้าวความก่อนนะครับ
ผมอายุ 33 ปี เริ่มรู้ตัวว่าผมมีอารมณ์ที่ไม่ปกติมานานตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ เป็นคนอารมณ์รุนแรง จุดเดือดต่ำ ระเบิดง่าย
มันเลยทำให้ผมเป็นคนเพื่อนน้อยและสังคมแคบ
เมื่อปี2018 ผมตัดสินใจพาตัวเองไปพบจิตแพทย์ เพราะรู้สึกไม่มีความสุขเกินจุดจะรับไหวละ
ตื่นมาก็นอนมองเพดาน กรูเกิดมาทำไม กรูอยู่เพื่ออะไร กรูทำไปทำไม ฯลฯ
ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า และ คุณหมอให้ทานยา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นยาเม็ดขาวฟ้าชื่อ fluoxetine
ผมก็ทานยาทุกวัน วันละเม็ด มาเรื่อยๆ โดยส่วนตัวก็รู้สึกว่าอาการมันดีขึ้นนะ
ไปพบแพทย์ตามนัด พูดคุย เล่าสภาวะอารมณ์ให้คุณหมอฟังอยู่ตลอด
จนวันนึงคุณหมอบอกว่า "หมอขอเปลี่ยนยานะ หมอว่าตอนนี้เราน่าจะเป็นไบโพล่าร์นะ"
โดยยาที่หมอให้ทานคือ Abilify 5 Mg วันละครึ่งเม็ดก่อนนอน และมาพบหมอทุก6เดือนเพื่อประเมินอาการมาเรื่อยๆ
ผมทานยาตัวนี้ติดต่อกันมาประมาณ 2 ปี น่าจะได้ครับ อารมณ์นิ่ง เสถียร เป็นมิตรกับทุกคน ครอบครัวก็แฮปปี้
คนรอบข้างก็ไม่ต้องอยู่กับผมแบบเกร็งๆกลัวๆในสภาวะอารมณ์ที่ผันผวน
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ผมไปหาหมอครั้งล่าสุด โดยคุณหมอบอกว่า จากการประเมินสภาวะอารมณ์มันดีขึ้นมากนะ
หมอขอลองเริ่มลดยาโดยให้กิน Abilify 5 Mg ครั้งละครึ่งเม็ด วันเว้นวัน ดูบ้างว่ามันจะเป็นอย่างไร
ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คือ ผมรู้ตัวเองว่า มัน "แปลกๆ"
ผมพยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นถ้าไม่จำเป็นนัก เพราะผมพยายามเลี่ยงปัจจัยล้านแปดที่จะมากระทบสภาวะอารมณ์
แต่ในขณะเดียวกัน ความต้องการการมีสังคม การยอมรับ การปลดปล่อยระบายความคิดสัพเพเหระที่เกิดขึ้นในหัว มันก็มีเช่นกัน
แล้วผมบริหารจัดการตัวเองอย่างไรหล่ะ?
ก็เข้า Pantip เนี่ยแหละครับ
ผมรู้นะว่าการใช้โซเชี่ยลในการรักษาอารมณ์ตัวเองมันเป็นการ "เล่นกับไฟ"
เพื่อนสมาชิกลองกดเข้าไปดูประวัติแอคเคาท์ผมสิ ช่วงนี้ผมตั้งกระทู้บ่อยมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นการปลดปล่อยความคิดล้านแปดที่วิ่งดุ๊กๆอยู่ในหัว
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมโดนแบนไปหลายแอคเคาท์เพราะข้อหา "ปั่น" และ "เกรียน"
ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช่ ผมไม่ได้เกรียน ผมแค่ต้องการเอาให้ความคิดและคำถามมากมายที่อยู่ในหัวออกมาสู่สาธารณะ
อาศัยบุคคลสาธารณะช่วยๆแบ่งมันไปหน่อย หรือ ขอความคิดเห็นจากบุคคลสาธารณะมาช่วย "ติดเบรค" บางความคิดให้ผมหน่อย
ผมเริ่ม "เอะใจ" ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับผม ที่ผมได้เล่าในกระทู้นี้
ท่องเที่ยวคนเดียวมาตลอดจนอายุ33 เริ่มกลัวและกังวลกับการเดินทางคนเดียว
ก็น่าจะเป็นผลมาจากสภาวะอารมณ์ที่ไม่นิ่ง อันเกี่ยวเนื่องมาจากการลดยา
การตั้งกระทู้เรียบเรียงความคิด แล้วย้อนกลับมาอ่านความคิดของตัวเองมันทำให้ผมประเมินตัวเองได้ว่า
เออ...ยังไหวอยุ่ หรือ เฮ้ย...ตรูหนักละ มันเป็นพื้นที่ของการสะท้อน Logic ตัวเองว่า เหตุผลและสติยังมีอยู่ไหม
ผมพูดแบบไม่อายเลยนะว่า "ผมไม่อยากต้องกินยาไปตลอดชีวิตครับ"
การกินยามันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่เหมือนคนอื่น ผมแปลกแยก ผมป่วย
ในขณะเดียวกันผมก็ยอมรับว่าผมป่วยจริงๆ ผมยอมรับและตระหนักรู้สุขภาพอารมณ์ที่เกิดกับตัวเองได้ แม้จะไม่100% แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนช่วงก่อนเข้ารับการรักษา
ผมอนุมานไปเอง (ไม่อยากใช้คำว่าคิดเข้าข้างตัวเอง) ว่า การลดยาลงย่อมส่งผลทางใดทางหนึ่ง
และนี่ก็อาจเป็นผลที่เกิดขึ้น ผมไม่อยาก "ตื่นกลัว" วิ่งแจ้นกลับเข้าไปโรงพยาบาล เพราะนั่นหมายถึงการกลับไปเพิ่มยา
ผมพยายามประคองตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่ท้ายที่สุดถ้ามันไม่ไหวจริงๆก็คงต้องยอมรับว่าใจเรายังไม่แข็งแรงดังเช่นที่เราประเมิน
ขอบคุณอีกครั้งที่รับฟัง ช่วงนี้เราพบกันบ่อยหน่อยนะครับ
เป็นไบโพล่าร์ ทานยามาหลายปีจนเริ่มลดยา แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าอารมณ์ไม่ค่อยเสถียรเลยครับ
ท้าวความก่อนนะครับ
ผมอายุ 33 ปี เริ่มรู้ตัวว่าผมมีอารมณ์ที่ไม่ปกติมานานตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ เป็นคนอารมณ์รุนแรง จุดเดือดต่ำ ระเบิดง่าย
มันเลยทำให้ผมเป็นคนเพื่อนน้อยและสังคมแคบ
เมื่อปี2018 ผมตัดสินใจพาตัวเองไปพบจิตแพทย์ เพราะรู้สึกไม่มีความสุขเกินจุดจะรับไหวละ
ตื่นมาก็นอนมองเพดาน กรูเกิดมาทำไม กรูอยู่เพื่ออะไร กรูทำไปทำไม ฯลฯ
ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า และ คุณหมอให้ทานยา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นยาเม็ดขาวฟ้าชื่อ fluoxetine
ผมก็ทานยาทุกวัน วันละเม็ด มาเรื่อยๆ โดยส่วนตัวก็รู้สึกว่าอาการมันดีขึ้นนะ
ไปพบแพทย์ตามนัด พูดคุย เล่าสภาวะอารมณ์ให้คุณหมอฟังอยู่ตลอด
จนวันนึงคุณหมอบอกว่า "หมอขอเปลี่ยนยานะ หมอว่าตอนนี้เราน่าจะเป็นไบโพล่าร์นะ"
โดยยาที่หมอให้ทานคือ Abilify 5 Mg วันละครึ่งเม็ดก่อนนอน และมาพบหมอทุก6เดือนเพื่อประเมินอาการมาเรื่อยๆ
ผมทานยาตัวนี้ติดต่อกันมาประมาณ 2 ปี น่าจะได้ครับ อารมณ์นิ่ง เสถียร เป็นมิตรกับทุกคน ครอบครัวก็แฮปปี้
คนรอบข้างก็ไม่ต้องอยู่กับผมแบบเกร็งๆกลัวๆในสภาวะอารมณ์ที่ผันผวน
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ผมไปหาหมอครั้งล่าสุด โดยคุณหมอบอกว่า จากการประเมินสภาวะอารมณ์มันดีขึ้นมากนะ
หมอขอลองเริ่มลดยาโดยให้กิน Abilify 5 Mg ครั้งละครึ่งเม็ด วันเว้นวัน ดูบ้างว่ามันจะเป็นอย่างไร
ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คือ ผมรู้ตัวเองว่า มัน "แปลกๆ"
ผมพยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นถ้าไม่จำเป็นนัก เพราะผมพยายามเลี่ยงปัจจัยล้านแปดที่จะมากระทบสภาวะอารมณ์
แต่ในขณะเดียวกัน ความต้องการการมีสังคม การยอมรับ การปลดปล่อยระบายความคิดสัพเพเหระที่เกิดขึ้นในหัว มันก็มีเช่นกัน
แล้วผมบริหารจัดการตัวเองอย่างไรหล่ะ?
ก็เข้า Pantip เนี่ยแหละครับ
ผมรู้นะว่าการใช้โซเชี่ยลในการรักษาอารมณ์ตัวเองมันเป็นการ "เล่นกับไฟ"
เพื่อนสมาชิกลองกดเข้าไปดูประวัติแอคเคาท์ผมสิ ช่วงนี้ผมตั้งกระทู้บ่อยมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นการปลดปล่อยความคิดล้านแปดที่วิ่งดุ๊กๆอยู่ในหัว
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมโดนแบนไปหลายแอคเคาท์เพราะข้อหา "ปั่น" และ "เกรียน"
ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช่ ผมไม่ได้เกรียน ผมแค่ต้องการเอาให้ความคิดและคำถามมากมายที่อยู่ในหัวออกมาสู่สาธารณะ
อาศัยบุคคลสาธารณะช่วยๆแบ่งมันไปหน่อย หรือ ขอความคิดเห็นจากบุคคลสาธารณะมาช่วย "ติดเบรค" บางความคิดให้ผมหน่อย
ผมเริ่ม "เอะใจ" ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับผม ที่ผมได้เล่าในกระทู้นี้
ท่องเที่ยวคนเดียวมาตลอดจนอายุ33 เริ่มกลัวและกังวลกับการเดินทางคนเดียว
ก็น่าจะเป็นผลมาจากสภาวะอารมณ์ที่ไม่นิ่ง อันเกี่ยวเนื่องมาจากการลดยา
การตั้งกระทู้เรียบเรียงความคิด แล้วย้อนกลับมาอ่านความคิดของตัวเองมันทำให้ผมประเมินตัวเองได้ว่า
เออ...ยังไหวอยุ่ หรือ เฮ้ย...ตรูหนักละ มันเป็นพื้นที่ของการสะท้อน Logic ตัวเองว่า เหตุผลและสติยังมีอยู่ไหม
ผมพูดแบบไม่อายเลยนะว่า "ผมไม่อยากต้องกินยาไปตลอดชีวิตครับ"
การกินยามันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่เหมือนคนอื่น ผมแปลกแยก ผมป่วย
ในขณะเดียวกันผมก็ยอมรับว่าผมป่วยจริงๆ ผมยอมรับและตระหนักรู้สุขภาพอารมณ์ที่เกิดกับตัวเองได้ แม้จะไม่100% แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนช่วงก่อนเข้ารับการรักษา
ผมอนุมานไปเอง (ไม่อยากใช้คำว่าคิดเข้าข้างตัวเอง) ว่า การลดยาลงย่อมส่งผลทางใดทางหนึ่ง
และนี่ก็อาจเป็นผลที่เกิดขึ้น ผมไม่อยาก "ตื่นกลัว" วิ่งแจ้นกลับเข้าไปโรงพยาบาล เพราะนั่นหมายถึงการกลับไปเพิ่มยา
ผมพยายามประคองตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่ท้ายที่สุดถ้ามันไม่ไหวจริงๆก็คงต้องยอมรับว่าใจเรายังไม่แข็งแรงดังเช่นที่เราประเมิน
ขอบคุณอีกครั้งที่รับฟัง ช่วงนี้เราพบกันบ่อยหน่อยนะครับ