คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มป่วย เราคงมุ่งประเด็นไปที่ผู้รักษาว่าอาจให้ความรู้คุณไม่ดีพอ แต่นี่คุณเป็นโรคซึมเศร้ามากว่ายี่สิบปี แต่กลับมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้น้อยมาก แถมมีการดูแลตัวเองที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย
เราเชื่อว่า คุณได้รับรู้ข้อมูลความรู้ในเรื่องนี้มาอย่างดีจากแพทย์+นักจิตวิทยา อีกทั้งทุกวันนี้ ข้อมูล/ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า (และโรคทางจิตเวชอื่นๆ) มีเผยแพร่อยู่มากมายและหาอ่านได้ทั่วไป ดังนั้น...คุณไม่ขาดแคลนข้อมูลแน่ๆ
แล้วทำไม....คุณจึงดูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นเลย ?? ทำไมยังถามเหมือนคนเริ่มป่วยใหม่ๆว่า ..เราจะทานยาไปอีกกี่ปี? สมองเราติดยาไปแล้วใช่ไหม? ใช่เพราะเราขาดยาแล้วมีอาการลงแดงหรือเปล่า? ฯลฯ
ทั้งหมดนี้เราคิดว่า.... เป็นเพราะความสามารถในการจำ-การคิด-การวิเคราะห์ (cognitive function) ของคุณเสื่อมถอยลง ค่ะ
โรคทางจิตเวชส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ถ้าคุณไม่ตั้งใจรักษาให้ดี มีอาการเบื่อๆอยากๆ หยุดยาเอง เดี๋ยวกินเดี๋ยวหยุด ผลที่ตามมาคือ อาการคุณจะกลับมาอีก (relapse) และยิ่ง relapse บ่อยครั้งเท่าไหร่ cognitive function ของคุณก็เสื่อมถอยเร็วขึ้น ตรงนี้เราไม่ได้อ้างอิงจากตำราอย่างเดียว แต่อ้างอิงจากประสบการณ์ของเราที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวชมานาน
สิ่งที่เราเห็นตลอด 25 ปีที่ผ่านมาคือ ผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรัง ที่กำเริบซ้ำบ่อยๆ มักมีความสามารถทางสมองเสื่อมลงเรื่อยๆ และผู้ที่ป่วยยาวนานกว่าที่ควรจะเป็นนั้น 99% เกิดจากปัญหา non-compliance คือ ไม่ร่วมมือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นว่า ทีมผู้รักษาเน้นย้ำนักหนาว่า "อย่าหยุดยาเอง"
การที่คุณป่วยแล้วต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะสมองคุณติดยา แต่ด้วยธรรมชาติของโรคมันไม่หายขาด คุณจึงต้องทานยาควบคุมอาการไว้ ถึงคุณไม่ทานยา..โรคมันก็ยังอยู่กับคุณ มันแค่รอโอกาสกำเริบเมื่อมีสิ่งกระตุ้นที่พอเหมาะ ..ก็แค่นั้น
โรคซึมเศร้ามันก็ไม่ได้ต่างจากโรคเรื้อรังหลายๆโรค อย่างโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ ลมชัก ฯลฯ คนไข้พวกนี้เขาก็ต้องทานยาตลอดชีวิตไม่ต่างจากคุณ นอกจากนั้นยังต้องดูแลตัวเองต่างจากแบบแผนการใช้ชีวิตเดิมๆ ไม่งั้นโรคก็กำเริบอีก อย่างคนไข้เบาหวาน เขาเคยชอบทานหวานเมื่อเจ็บป่วย...ก็ต้องลดน้ำตาลลง เขาต้องกินในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ ไหนจะต้องฝืนตัวเองไปออกกำลังกาย ต้องไม่เครียด และอื่นๆอีกมากมาย
เมื่อเจ็บป่วย...คนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพทั้งนั้น เพื่อให้อยู่กับโรคได้ แต่นี่คุณยังไม่อยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลย คุณยังอยากออกไปข้างนอกตอนกลางคืน?? คุณจะไปไหน..งง คุณไม่รู้หรือว่า คุณภาพการนอนหลับมีความสำคัญกับโรคซึมเศร้ามากแค่ไหน? คุณอยากจะใช้ชีวิตปกติ อยากทำงานทำการได้ คุณก็ต้องปรับเปลียนพฤติกรรม ตั้งใจรักษา อย่าปล่อยให้กำเริบซ้ำๆ แค่นี้สมองก็ไปเยอะแล้ว อย่าให้มันไปมากกว่านี้เลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
เราเชื่อว่า คุณได้รับรู้ข้อมูลความรู้ในเรื่องนี้มาอย่างดีจากแพทย์+นักจิตวิทยา อีกทั้งทุกวันนี้ ข้อมูล/ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า (และโรคทางจิตเวชอื่นๆ) มีเผยแพร่อยู่มากมายและหาอ่านได้ทั่วไป ดังนั้น...คุณไม่ขาดแคลนข้อมูลแน่ๆ
แล้วทำไม....คุณจึงดูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นเลย ?? ทำไมยังถามเหมือนคนเริ่มป่วยใหม่ๆว่า ..เราจะทานยาไปอีกกี่ปี? สมองเราติดยาไปแล้วใช่ไหม? ใช่เพราะเราขาดยาแล้วมีอาการลงแดงหรือเปล่า? ฯลฯ
ทั้งหมดนี้เราคิดว่า.... เป็นเพราะความสามารถในการจำ-การคิด-การวิเคราะห์ (cognitive function) ของคุณเสื่อมถอยลง ค่ะ
โรคทางจิตเวชส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ถ้าคุณไม่ตั้งใจรักษาให้ดี มีอาการเบื่อๆอยากๆ หยุดยาเอง เดี๋ยวกินเดี๋ยวหยุด ผลที่ตามมาคือ อาการคุณจะกลับมาอีก (relapse) และยิ่ง relapse บ่อยครั้งเท่าไหร่ cognitive function ของคุณก็เสื่อมถอยเร็วขึ้น ตรงนี้เราไม่ได้อ้างอิงจากตำราอย่างเดียว แต่อ้างอิงจากประสบการณ์ของเราที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวชมานาน
สิ่งที่เราเห็นตลอด 25 ปีที่ผ่านมาคือ ผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรัง ที่กำเริบซ้ำบ่อยๆ มักมีความสามารถทางสมองเสื่อมลงเรื่อยๆ และผู้ที่ป่วยยาวนานกว่าที่ควรจะเป็นนั้น 99% เกิดจากปัญหา non-compliance คือ ไม่ร่วมมือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นว่า ทีมผู้รักษาเน้นย้ำนักหนาว่า "อย่าหยุดยาเอง"
การที่คุณป่วยแล้วต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะสมองคุณติดยา แต่ด้วยธรรมชาติของโรคมันไม่หายขาด คุณจึงต้องทานยาควบคุมอาการไว้ ถึงคุณไม่ทานยา..โรคมันก็ยังอยู่กับคุณ มันแค่รอโอกาสกำเริบเมื่อมีสิ่งกระตุ้นที่พอเหมาะ ..ก็แค่นั้น
โรคซึมเศร้ามันก็ไม่ได้ต่างจากโรคเรื้อรังหลายๆโรค อย่างโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ ลมชัก ฯลฯ คนไข้พวกนี้เขาก็ต้องทานยาตลอดชีวิตไม่ต่างจากคุณ นอกจากนั้นยังต้องดูแลตัวเองต่างจากแบบแผนการใช้ชีวิตเดิมๆ ไม่งั้นโรคก็กำเริบอีก อย่างคนไข้เบาหวาน เขาเคยชอบทานหวานเมื่อเจ็บป่วย...ก็ต้องลดน้ำตาลลง เขาต้องกินในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ ไหนจะต้องฝืนตัวเองไปออกกำลังกาย ต้องไม่เครียด และอื่นๆอีกมากมาย
เมื่อเจ็บป่วย...คนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพทั้งนั้น เพื่อให้อยู่กับโรคได้ แต่นี่คุณยังไม่อยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลย คุณยังอยากออกไปข้างนอกตอนกลางคืน?? คุณจะไปไหน..งง คุณไม่รู้หรือว่า คุณภาพการนอนหลับมีความสำคัญกับโรคซึมเศร้ามากแค่ไหน? คุณอยากจะใช้ชีวิตปกติ อยากทำงานทำการได้ คุณก็ต้องปรับเปลียนพฤติกรรม ตั้งใจรักษา อย่าปล่อยให้กำเริบซ้ำๆ แค่นี้สมองก็ไปเยอะแล้ว อย่าให้มันไปมากกว่านี้เลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
คนที่เป็นโรค Bipolar Disoder นั้นจะต้องกินยาไปนานเท่าไหร่คะ ตอนนี้ผ่านมา 5 ปีแล้ว
เคยทดสอบตัวเองโดยการเลิกกินยาที่บอกมานั้นเอง.... วันแรกอยู่ยังได้ วันที่สองเริ่มเครียดๆละ พอวันที่สามเริ่มคุ้มคลั่ง เหมือนคนพาลไปหมด อยากหาเรื่องคนไปทั่ว และจิตใจวู่วาม ขับรถเหยียบมิดเลย โมโหง่าย แต่หายยาก ใจสั่นๆ และเข้าคิวรออะไรไม่ได้เลย เครียด จึงต้องกลับมากินอีก พอไปบอกหมอ หมอก็ต่อว่าเราว่าหยุดกินยาเองแบบนี้ไม่ได้นะ เพราะมันจะทำให้สารเคมีในสมองไม่บาล้านซ์เหมือนเดิม เดี๋ยวต้องมาเริ่มใหม่นะ ....คือเราอยากทราบว่า เพราะอะไร ? เพราะร่างกาย สมองเราติดยาไปแล้วใช่ไหม ? หรือเพราะสารเคมีในสมองเราแปรปรวนเมื่อร่างกายขาดยาเลยออกอาการแบบ ลงแดง แล้วอย่างนี้ เราจะต้องกินยา และพบแพทย์ กับนักจิตวิทยาไปอีกกี่ปี ?
เราเบื่อมากๆ เราเหนื่อย....เราไม่อยากกินยาแล้ว เพราะไปไหนก็ลำบาก กลางคืนนี่หมดสิทธิ์ออกไปไหนกับเค้าเลย ทุกวันนี้ชีวิตมีแต่ กินยา พบหมอ พบนักจิตวิทยา และทำงานบ้านเล็กน้อย ไม่สามารถออกไปทำงานได้เหมือนเดิม เข้าสังคมไม่ได้ อยากทราบว่า โรคนี้ทำยังไงจึงจะกลับมาใช้ชีวิตได้ปรกติเหมือนคนอื่นคะ ? อย่าบอกว่าต้องทำใจ และนั่งวิปัสนานะคะ เพราะเราทำมาหมดทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ไม่เอาเรื่องจิตละ เอาเรื่องร่างกายละ เพราะปัญหามันอยู่ที่เราหลับเองไม่ได้ นี่แหละค่ะมันทรมานมาก